ทำไมถึงแต่งตัวสไตล์ classic menswear?

หลังจากที่ห่างจากการเขียนบทความลงบนเว็บไซต์ มาสักพักใหญ่ๆ เนื่องจากงานหลักผมที่ทำอยู่นั้น เริ่มกลับมาอยู่ในช่วงที่ผมต้องให้ความสำคัญมากขึ้น แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้สะดุดกับคำถามจากน้องที่รู้จักกันเป็นอย่างดีท่านนึง ซึ่งน้องคนนี้อาจจะไม่ได้มีความคุ้นเคยกับการแต่งตัวสไตล์ classic menswear แต่น้องท่านนี้ก็เป็นหนึ่งใน follower ใน IG ของผม น้องคนนี้สงสัยว่าผมทำอะไรใน IG เลยถามผมว่า “ทำไมถึงแต่งตัวสไตล์ที่พี่แต่งอยู่?”

เนื่องจากบทสนทนานี้เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร ซึ่งผมก็ตอบไปตามที่ผมนึกคำตอบได้ ณ ตอนนั้น และด้วยบริบทการทานอาหาร และดื่มไวน์ไปหลายแก้ว (เพื่อนๆ คงพอจะนึกภาพตามออก) ทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ตอบน้องท่านนั้นไปว่า “มันเป็นความชอบส่วนตัว เป็นสิ่งที่ผมหลงไหล ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก” นั้น มันยังไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีเหตุผลอีกหลายๆ ข้อที่ผมนึกขึ้นมาได้ ระหว่างที่ผมเดินทางกลับบ้าน แล้วคำถามนี้มันก็เกาะอยู่ในหัวผมมาตลอด จนทำให้ผมรู้สึกว่า ผมต้องเขียนมันออกมาได้ตามนี้ครับ…

เราไม่ต้องวิ่งตามเทรนด์ หรือตามกระแสแฟชั่น

Classic Menswear in a modern environment. (photo credit: The Anthology)

เพราะขึ้นชื่อว่า classic ดังนั้น มันคือความ timeless มันไม่ใช่แฟชั่นที่เป็น seasonal ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ว่าการแต่งกายสไตล์นี้ ก็ไม่ใช่ว่า มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงนะครับ แต่มันเป็นการค่อยๆ ปรับเปลี่ยน (evolving over time) ดีเทลต่างๆ ไปตามยุคสมัย โดยที่ภาพรวมยังคงเดิม

ทำให้เรามีเวลามาใส่ใจในรายละเอียด เช่นการเลือกชนิดและสีของผ้า การจับคู่สี และการ mix & match กับเสื้อผ้าที่มีอยู่แล้วในตู้เสื้อผ้าของเรา

Fabric Selection Process

การใส่ใจในรายละเอียดที่พูดถึง เช่น การเลือกประเภทของผ้าที่จะใช้กับเชิ้ต, กางเกง หรือ jacket เพื่อให้เหมาะกับสภาพอากาศ และ/หรือ โอกาสที่เราจะใส่มัน อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือการเลือกประเภทของรองเท้า หรือชนิดของหนังสำหรับรองเท้าที่เราจะใส่ในโอกาสต่างๆ นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน มันยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ในเราพิจารณาอีกหลายอย่างนะครับ

และการที่การแต่งตัวสไตล์นี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน การที่เราได้ศึกษา ถึงที่มา และเหตุผลในการออกแบบเสื้อผ้า และ accessories ต่างๆ จะยิ่งที่ให้เราเข้าใจการใช้งาน และสามารถประยุกต์ให้เข้ากับ context ปัจจุบัน และถูกกาละเทศะได้ดียิ่งขึ้น เพราะการที่จะเราเพียงแต่ใส่ตามรูปแบบสมัยก่อนโดยที่ไม่เข้าใจเหตุผล อาจจะทำให้การใส่เสื้อผ้าสไตล์นี้ เหมือนเราใส่ costume (เหมือนในฉากหนัง หรือ งานแฟนซี) มากกว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่เราใส่ในชีวิตประจำวัน

ทำให้เราได้รู้จัก Artisans หรือ Tailors ที่เชี่ยวชาญในการผลิตงานของตนเองอย่างแท้จริง

เนื่องจากเสื้อผ้า และ accessories ต่างๆ ในสไตล์นี้ จะมีเหล่าช่างฝีมือในการผลิตผลงานแต่ละประเภทโดยเฉพาะ และโดยส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจมายาวนาน บางแบรนด์ มีอายุมากกว่า 100 ปี แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในงานนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง จะมีบ้างเป็นบางแบรนด์ที่เกิดขึ้นมาใหม่ แต่ก็มักจะเป็นทีมงานที่เคยทำงาน เรียนรู้มาจากแบรนด์เก่าแก่ แล้วก็แยกตัวมาเปิดแบรนด์ของตนเอง โดยใส่ดีไซน์ของตนเอง และความทันสมัยเข้าไปทำให้เกิด รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยที่ยังคงยึดถือในการเลือกวัสดุที่ดีเยี่ยม และให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากในคุณภาพการผลิต ยกตัวอย่างเช่น:

ช่างทำรองเท้า: Alden Shoes Company – USA / Crockett & Jones – UK / Berwick 1707 – Spain / Baudoin & Lange – UK /Edward Green – English Master Shoemaker

ช่างทำกระเป๋า: Rutherfords – English Bridle Accessories / Acate – Japan / C.C. Filson Co. – USA

ช่างทำเนคไท: Shibumi – Firenze / Seven Fold – Italy / Vanda Fine Clothing – Singapore

ช่างตัดสูท: Liverano & Liverano – Firenze / Ozario Luciano – Napoli / B&Tailor – Seoul / Ring Jacket – Japan / ASSISI Bespoke House – Seoul / The Primary Haus – Bangkok / Borrom Handcraft Tailor – Bangkok / Jin Tonic Bespoke Suit – Bangkok / The Manners Tailor House – Bangkok

ช่างตัดกางเกง: Ambrosi Napoli – Italy / Echizenya – Osaka & Tokyo

เราสามารถเลือกซื้อสินค้า ที่ผู้ผลิตใส่ใจกับรายละเอียด และความต้องการของลูกค้า มากกว่า สินค้าประเภท Fast Fashion หรือแม้แต่จาก Luxury Brands ก็ตาม

เราคงไม่มีโอกาส ที่จะบอกกับ Zara หรือ H&M หรือ Uniqlo ว่า ช่วยปรับ pattern ของเสื้อเชิ้ต หรือ jacket ให้เข้ากับรูปร่างคนไทย หรือคนเอเชียได้ หรือจะไปบอกให้ Dior หรือ Gucci ช่วยปรับรองเท้าให้หน้ากว้างขึ้นเพื่อให้เข้ากับเท้าของคนไทย จริงอยู่ว่าสินค้า Luxury Brand เราสามารถสั่ง Customization ได้แต่ราคาก็จะสูงมากๆ

The Decorum team met Crockett & Jones at Pitti Uomo 2023

แต่เราสามารถทำได้กับเหล่า Artisans และ Tailors ผ่าน Retailers หรือ ร้าน Multi Brand ที่เลือกสินค้า เหล่านั้นมาจำหน่ายในร้าน เช่น The Decorum Bangkok, The Somchai, The Refinement, Sprezzatura Eleganza, Talisman, etc. โดยผ่านการ collaboration ระหว่างทางร้านกับทางแบรนด์ หรือผ่านโปรแกรม MTM หรือ MTO ก็ได้เช่นกัน

เราได้มีโอกาสเจอตัว ได้พูดคุยโต้ตอบกับเจ้าของแบรนด์โดยตรง ที่เป็นทั้ง Artisans และ Tailors ผ่านทาง Retailers

เนื่องจากการเลือกซื้อสินเค้าในสไตล์นี้ มีรายละเอียดค่อนข้างมาก มีตัวเลือกมากมาย ทำให้ก่อให้เกิดการพูดคุยสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิด ความต้องการ กับทางทีมงาน ไปจนถึงเจ้าของร้าน จนก่อให้เกิดเป็นความคุ้นเคยกันเหมือนเพื่อนมากกว่าแค่ คนซื้อ และคนขาย

มากไปกว่านั้น ยังมีการจัด Trunk Show ของเหล่า Artisans และ Tailors ตลอดทั้งปี ทำให้เราได้มีโอกาสได้เจอกับ เจ้าของสินเค้านั้นๆ เช่น ทางร้าน The Decorum จะมีการจัด Trunk Show กับทาง ASSISI ทุกๆ quarter หรือล่าสุดเพิ่งมีการจัด Trunk Show กับทางกางเกงยีนส์ Resolute ไปเป็นต้น หรืออย่างทางร้าน The Refinement มีการจัด Trunk Show กับทาง Ring Jacket และที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ คือ Trunk Show กับทาง B&Tailor ส่วนทางร้าน The Somchai จะมีการจัด Trunk Show กับทาง Liverano & Liverano / Ozario Luciano / Ambrosi Napoli ตลอดทั้งปี

ที่สำคัญคือ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในวงการนี้ มีความ friendly พร้อมที่จะให้ความรู้ คำแนะนำ ให้กำลังใจมาโดยตลอด อบอุ่นมากๆ

ทุกครั้งที่ผมสงสัย มีคำถามที่อยากได้คำตอบ พอทักไปถามคนในวงการนี้ ผ่าน social media ต่างๆ จะได้รับคำตอบทุกครั้ง และทุกคนพร้อมที่จะให้ข้อมูลมากกว่าที่เราถามเสมอ และเมื่อเราโพสอะไรลงไป หรือการทำเว็บไซต์นี้ ผมก็จะได้รับกำลังใจจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มาโดยตลอด ถือว่าเป็น community ที่พร้อมที่จะต้อนรับสมาชิก หรือผู้สนใจหน้าใหม่เสมอ

เราได้สินค้าที่มีความคุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายไปจริงๆ (Value Proposition)

เนื่องจากเหล่า artisan หรือ tailor ในวงการนี้ ไม่ได้ลงทุนไปกับ Celebrity หรือดารา A-list เพื่อให้มาเป็น Presenter หรือ Brand Ambassador เหมือนกับที่แบรนด์ Fast Fashion หรือ Luxury Brand ต่างๆที่ลงทุนไปกับ งบ Marketing มหาศาล

เพราะฉะนั้น ราคาที่เราจ่ายไปนั้น ก็ไปลงกลับคุณภาพ ของวัสดุ และคุณภาพของงานฝีมือ และความใส่ใจในรายละเอียด กับราคาที่สมเหตุสมผลจริงๆ และอีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือ ความคงทนอันเกิดจากการใช้วัสดุที่ดี และคุณภาพที่ดีในการผลิต ทำให้เราสามารถใช้งานสิ่งของเหล่านี้ (ด้วยการดูแลรักษา ที่ถูกต้อง) ได้นานนับ 10-20 ปี

บทสรุป

และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมด ที่ผ่านกระบวนการคิด ทบทวน จากประสบการณ์ของผมในระยะเวลา 2-3 ปี ที่ผมเริ่มสนใจแต่งตัวในสไตล์นี้อย่างจริงจัง

แล้วเพื่อนๆ มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ ผมอยากฟังความเห็นจากทุกคน ว่ามีเหตุผลอื่นๆ กันอีกมั๊ย เพื่อนๆ สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ ในช่อง comment ด้านล่างนี้นะครับ

สุดท้ายนี้ หากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด หรือขอบกพร่องใดๆ ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผม และมาให้กำลังใจกันโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist กันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!

ขอบคุณรูปภาพสวยๆ จาก The Decorum, The Somchai, The Refinement, The Primary Haus, Filson Co., Borrom, Jin Tonic, The Manners, MDs’ Style Guide Sharing Group

เหตุผลประกอบการตัดสินใจ ในการเลือกซื้อรองเท้าสไตล์ Classic Menswear ตอนที่ 1

ผมขอเว้นการลงโพสเกี่ยวกับนาฬิกาก่อนนะครับสำหรับสัปดาห์นี้ อยากจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตัวสไตล์ Classic Menswear บ้าง สำหรับสัปดาห์นี้อยากจะขอพูดถึงไอเท็มที่สำคัญในลำดับต้นๆ สำหรับการแต่งตัวสไตล์ Classic Menswear นั้นก็คือ “รองเท้า” ครับ

โดยที่ผมจะขอเขียนอธิบาย โดยใช้ประสบการณ์ตรงที่ผมทยอยซื้อรองเท้าตลอดในช่วยระยะเวลา 2-3 ปี ที่ผ่านมา ว่าผมใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ และหลักการคิดในการเลือกซื้อรองเท้าแต่ละคู่อย่างไรบ้าง เช่น ลำดับการซ์้อก่อน-หลัง การเลือกสี และการเลือกประเภทของหนัง เป็นต้น เผื่อว่าเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังเริ่มสนใจ หรือกำลังตัดสินใจเลือกซื้อรองเท้าสไตล์ Classic Menswear อยู่ จะนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้างนะครับ

ผมจะขอเรียงลำดับตามระยะเวลาที่ผมซื้อรองเท้า ตั้งแต่คู่แรกที่ผมเริ่มหันมาสนใจการแต่งตัวสไตล์นี้ จนถึงคู่ล่าสุดนะครับ มาเริ่มกันเลย!!

Dark Brown Calf Penny Loafer

Brand: Fugashin from The Decorum Bangkok

Last: Fortingall

Structure: Goodyear-Welted, Leather Sole

Price: THB 7,750.00

Dark Brown Calf Penny Loafer by Fugashin Shoes Maker

เหตุผลที่ผมตัดสินใจเลือกรองเท้าคู่นี้เป็นคู่แรก เนื่องมาจากว่าผมต้องการรองเท้าสีน้ำตาล เพราะสีน้ำตาลสามารถเข้ากับเสื้อผ้าได้หลากหลายสี มากกว่าสีดำ (รองเท้าสีดำมีความเป็นทางการสูงกว่า) และผมต้องการรองเท้าสไตล์ Loafer (คือสามารถสวมโดยไม่ต้องผูกเชือก) หากจะเลือก Tassel Loafer (คือรองเท้าที่มีพู่ห้อยอยู่ด้านหน้า) ก็จะดูลำลองเกินไป ก็เลยตัดสินใจเป็น Penny Loafer หนัง Calf (หนังวัวผิวเรียบ)

ผมใส่คู่กับถุงเท้า ribbed socks สีสนุกๆ จากทาง Votta มีจำหน่ายที่ The Decorum เช่นกัน

เพื่อนๆ จะเห็นว่ารองเท้าคู่นี้มีสีน้ำตาลกลางๆ ซึ่งจริงๆ แล้วหากจะเน้นใส่ไปทำงาน ก็ควรที่จะเป็นน้ำตาลที่เข้มกว่านี้ แต่เนื่องจากว่า ออฟฟิศที่ผมทำงาน ไม่ได้ซีเรียสเรื่องการแต่งตัวมากขนาดเดียวกับ สำนักงานกฎหมาย ธนาคาร หรือ หน่วยงานราชการ การที่ผมเลือกสีน้ำตาลกลาง ทำให้ผมสามารถใส่รองเท้าคู่นี้ ในโอกาสอื่นๆ ได้ด้วย

กางเกงผ้า Cotton ผสม Linen ตัวนี้เป็นของ JBB* Menswear นะครับ

เหตุผลที่ผมเลือกแบรนด์ Fugashin ก็เพราะว่า อยู่ในช่วงราคาที่เหมาะสมกับการเริ่มต้นแต่งตัวแนวนี้ บวกกับคุณภาพหนัง และคุณภาพงานผลิตที่ผมมั่นใจได้ว่า รองเท้าคู่นี้จะอยู่กับผมไปได้อีกได้ 5-10 ปี (ด้วยการดูแลที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ) ผมจำได้ว่า ผมรู้จักรองเท้าแบรนด์นี้จากรีวิวของคุณนิน ช่อง TaninS (แต่ในรีวิวเป็นสีดำนะครับ) แถมตอนไปซื้อที่ Decorum ก็ได้เจอกับคุณโอ (IG: @hoeypresley) ซึ่งถือว่าโชคดีและเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะคุณโอ ช่วยแนะนำผมเป็นอย่างดี และทำให้ผมรู้สึกว่า การมาร้าน Classic Menswear ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ตอนนี้คุณโอ มาประจำอยู่ที่ร้าน The Refinement แล้วนะครับ

Dark Brown Suede Tassel Loafer

Brand: Berwick Tassel Loafer 8491 Gum Oiled 173 from Curated and Co

Last: 8 Last

Structure: Goodyear-Welted, Leather Sole

Price: THB 8,800.00

Berwick Tassel Loafer รุ่น 8491 สี Gum Oiled 173 ตอนนี้สามารถหาซื้อได้จากทั้งทาง Curated and Co และ The Refinement ครับ

หลังจากที่ผมมีรองเท้า Penny Loafer คู่แรกไปแล้ว ผมก็เริ่มมองหา Tassel Loafer เพื่อใส่สลับ ในวันที่สามารถแต่งตัวลำลองได้มากขึ้น เช่น ไปออฟฟิศวันศุกร์ หรือสามารถใส่ไปเที่ยว เดินห้าง หรือไปคาเฟ่ ในวันหยุดได้ โดยที่ตัวเลือกก็จะมีเรื่องของ สี และประเภทของหนัง

เนื่องจากผมมีสีน้ำตาลกลางๆไปแล้ว ผมจึงเลือกคู่นี้เป็นสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งผมก็ยังไม่เลือกสีดำ เพราะจริงๆ แล้วรองเท้าสีดำเป็นสีที่มีข้อจำกัดในการใส่มากกว่าสีน้ำตาล (หลายๆ คน อาจจะคิดว่ารองเท้าสีดำ คือสีที่เบสิค ควรจะซื้อก่อน)

รองเท้ายี่ห้อ Berwick เป็นแบรนด์สัญชาติสเปน มีประวัติการทำรองเท้าค่อนข้างยาวนาน

ส่วนประเภทของหนัง เนื่องจากคู่ที่แล้วผมเลือกเป็นหนัง Calf (หนังวัวผิวเรียบ) ไปแล้ว คราวนี้ผมจึงเลือกเป็นหนัง Suede (หนังกลับ) เพื่อให้ได้ลุคที่เป็นลำลองมากกว่า และมีอีก 1 เหตุผลประกอบ คือว่าผมอยากจะลองใช้รองเท้าหนังกลับดูบ้าง (จำได้ว่าคู่สุดท้ายที่มีน่าจะสมัยอยู่ชั้นมัธยม และรู้สึกว่าดูแลรักษายาก) เพราะหลังจากที่เริ่มมาศึกษาเรื่องนี้มากขึ้น ทำให้ทราบว่า จริงๆ แล้วรองเท้าหนังกลับนั้นดูแลรักษาง่ายกว่าหนัง Calf เสียอีก (ใช้แปรงปัดฝุ่น ก่อนและหลังใช้งาน และฉีดสเปรย์กันน้ำ ไม่ต้องลงครีม ไม่ต้องขัด สำหรับการดูแลเบื้องต้น)

กางเกงตัวนี้เป็นผ้า Cotton จากทาง JBB* Menswear อีกเช่นเคย

จำได้ว่าตอนที่ไปซื้อรองเท้าคู่นี้ ผมตัดสินใจเลือก Berwick เพราะอยู่ในราคาที่เหมาะสม และคุณภาพเชื่อถือได้ ผมไปซื้อที่ร้าน Curated & Co ณ ตอนนั้น คุณน้ำ (IG: @therefinement_nam) เป็นคนที่ดูแลให้คำแนะนำในการซื้อเป็นอย่างดีมากๆ จำได้ว่าตอนนั้น ผมต้องอุ้มลูกสาวด้วยตลอดเวลา คุณน้ำให้ความช่วยเหลือ และบริการผมอย่างดีมากๆ ประทับใจมากครับ และตอนนี้คุณน้ำก็มาประจำอยู่ที่ร้าน The Refinement แล้วเช่นกันครับ

Black Calf Penny Loafer

Brand: Fugashin from The Decorum Bangkok

Last: Marton

Structure: Goodyear-Welted, Leather Shole

Price: THB 7,750.00

Penny Loafer คู่นี้จะเป็น Last ใหม่ชื่อ Marton จากทาง Fugashin Shoes Maker

แล้วก็มาถึงคิวรองเท้าสีดำกันบ้าง พอผมมีรองเท้าสีน้ำตาลมาแล้ว 2 คู่ คราวนี้ผมจึงตัดสินใจว่าเราควรจะมีรองเท้าสีดำ สำหรับใส่ในโอกาสที่เป็นทางการมากขึ้น เช่น วันที่มีประชุมที่เป็นทางการ หรือไปพบกับผู้ใหญ่วันที่เป็นทางการ หรือในวันทำงานที่ผมอยากจะแต่งตัวที่เป็นทางการมากเป็นพิเศษ (ส่วนใหญ่จะเป็นต้นสัปดาห์)

แต่ผมก็ยังไม่เลือกรองเท้า Cap-toe Oxford (รองเท้าหนังสีดำผูกเชือก ที่มีความเป็นทางการสูง) อยู่ดี เพราะผมคิดว่าโอกาสที่จะใช้นั้นมีน้อยมากๆ (ณ ตอนนั้น โควิดยังระบาดหนัก งานแต่งงาน หรืองานศพ ยังจัดไม่ได้เลย) ผมจึงเลือกเป็น Penny Loafer ก่อน แล้วคิดว่า Tassel Loafer ค่อยไปซื้อหลังจากคู่นี้

กางเกงตัวนี้เป็นผ้า Wool สี Navy จากทาง JBB* Menswear

ส่วนเหตุผลที่ผมยังคงเลือกเป็นแบรนด์ Fugashin โดยที่ไม่ไปลองซื้อแบรนด์อื่น ก็เพราะว่า

  • ผมจะรู้สึกสบายใจที่จะจ่ายเงินที่ระดับราคาเท่านี้
  • ประสบการณ์จากการใส่ Fugashin คู่แรก รู้สึกประทับใจ ใส่สบาย และคูณภาพหนังยังดูดี แม้จะใช้งานมา 1 ปีแล้วก็ตาม
  • Fugashin ได้มีการอัพเดท Last (ทรงของรองเท้า) ใหม่สำหรับ Penny Loafer โดยนำความเห็นของผู้ใช้งาน มาปรับปรุงใน Last ใหม่นี้ โดยที่ผมตัดสินใจซื้อก็เพราะได้ดูคลิปที่คุณจ๊อบ Martinphu รีวิวรองเท้าคูนี้ไว้ละเอียดดีมากเลยครับ
Fugashin Shoes Maker เป็นแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น แต่โรงงานผลิตจะอยู่ที่ประเทศเวียดนาม

ส่วนการซื้อรองเท้าคู่นี้ เนื่องจากยังเป็นช่วงโควิดระบาด และผมรู้อยู่แล้วว่าตัวเองใส่ไซส์อะไรอยู่ จึงตัดสินใจซื้อจากทางร้าน The Decorum ผ่านทาง Line application โดยได้ chat กับทางพนักงาน สอบถามเรื่อง Last และเรื่องไซส์ ให้แน่ใจว่าเราใส่ได้แน่ๆ แล้วจึงโอนเงิน online แล้วให้ทางร้านส่งของมาที่บ้าน ถ้าจำไม่ผิด แค่ 1 วัน รองเท้าก็มาส่งที่บ้านใน Package อย่างดี กล่องและรองเท้ามาในสภาพสมบูรณ์ทุกอย่างครับ

Black Tassel Loafer

Brand: Mango Mojito

Last: ML Last

Structure: Goodyear-Welted with Closed Channel

Price: THB 5,880.00

Black Tassel Loafer ML Last จากทาง Mango Mojito

ตามที่เกริ่นไว้ในคู่ก่อนหน้านี้นะครับ พอมี Penny Loafer สีดำแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมตัดสินใจซื้อ Tassel Loafer สีดำบ้าง จะเห็นว่าผมก็ใช้หลักการคิดแบบเดียวกับตอนที่ผมเลือกซื้อรองเท้าซื้อน้ำตาล เพียงแค่ว่า สำหรับผมแล้ว ผมสามารถนำรองเท้าน้ำตาลมาใส่กับเสื้อผ้าที่ผมมี และสามารถใส่ไปในโอกาสต่างๆ ได้หลากหลายกว่า รองเท้าสีดำ

ซึ่งจริงๆ แล้ว เพื่อนๆ อาจจะตัดสินใจเลือกซื้อรองเท้าสีดำก่อนก็ได้ อันนี้มันไม่มีผิดหรือถูกนะครับ อยู่ที่ความสะดวกของแต่ละบุคคลเลยครับ เพราะรองเท้า Penny และ Tassel สีดำ ก็สามารถเอาไปใส่ แต่งตัวได้หลากหลายเช่นกัน

แบรนด์ Mango Mojito เป็นของคนไทย ที่น่าสนับสนุน

ที่ผมตัดสินใจเลือกซื้อแบรนด์ Mango Mojito ก็มาจากการศึกษารีวิว จากแหล่งต่างๆโดยเฉพาะเว็บ MenDetails ได้เขียนโพสรีวิวเกี่ยวกับ Mango Mojito ไว้โดยเฉพาะ และพอได้คุยกับทางร้านทำให้ทราบว่า ทางร้านมี option ให้เราเลือกได้ด้วยว่า จะเลือกพื้นรองเท้าเป็น Closed Channel (คือการทำพื้นรองเท้าที่ซ่อนรอยเย็บไว้ใต้แผ่นหนังอีกที โดยปกติถ้าเป็นแบรนด์อื่นๆ จะทำเฉพาะในรุ่น hi-grade เท่านั้น) หรือ จะเลือกติดพื้นยาง half-sole มาจากโรงงานได้เลย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกด้วย

กางเกงผ้า wool ผสมตัวนี้เป็นของ Zara ผมใส่มาน่าจะเกิน 10 ปีแล้ว ยังสภาพดีอยู่เลย

และด้วยอีกเหตุผลนึง คือผมต้องการสนับสนุนสินค้าที่คิด และผลิตด้วยฝีมือคนไทย ซึ่งแบรนด์ Mango Mojito ก็เป็นแบรนด์รองเท้าคนไทยที่เปิดมานาน น่าเชื่อถือ และยังพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง และมีโรงงานผลิตรองเท้าเป็นของตัวเอง

บทสรุป

ก็จบไปแล้ว 4 คู่แรกนะครับสำหรับโพสนี้ จะเรียกได้ว่า เป็น 4 คู่ที่เป็น Essential item สำหรับการเริ่มต้นแต่งตัวสไตล์ Classic Menswear ของผมก็ว่าได้นะครับ เพื่อความกระชับ ผมจะขอเขียนเกี่ยวกับรองเท้าอีก 4 คู่ที่เหลือ ที่จะเริ่มมีลูกเล่น มีรูปแบบที่สนุกขึ้น มีสีสันมากขึ้น ในโพสถัดไปนะครับ และผมจะเขียนสรุปให้เพื่อนๆ ทราบด้วยว่า จากที่ผมใส่รองเท้าทั้งหมดประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา ผมชอบใส่คู่ไหน? คู่ไหนใส่สบายที่สุด? คู่ไหนใส่น้อยที่สุด? และปัญหาที่ผมได้เจอมา อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ

สุดท้ายนี้ หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะ ข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่างตรงไหน สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ ยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน หากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผมโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky (ตอนนี้สามารถดู Instagram Latest Feed และกดปุ่มติดตามได้จากหน้า Home แล้วนะครับ) ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!