My Perfect Dress Shirt by Ascot Chang

In April this year 2024, Decorum Bangkok held a Trunk Show by Ascot Chang. My intention for this year was to focus more on the Bespoke and MTM piece rather than the RTW items.

Therefore I decided to commission a dress shirt with Ascot Chang with some preferences in mind as follow:

  • A Dress/Formal Shirt
  • Vintage cloth in Ascot Chang archives
  • Spread Collar with a wider and pointer shape
  • Snugged barrel cuff which I prefer my right cuff a bit wider for my wrist watch
  • Initial embroidery

After measurement and cloth/details selection about 1.5 month, I got the 1st fitting in June with a completely finished shirt. Even though the program that I commissioned was called MTM Program but the way the AC staff measured my body is very much a Bespoke process and from the 1st fitting I can definitely say that this is a Bespoke Shirt (also a staff at Decorum supported my idea).

From my 1st fitting, there were some adjustments on my shoulder and on my back to make the shirt a cleaner look (to eliminate the excess fabric). The rest of the shirt i.e. the length of the sleeve, the fit around my neck, cuff, chest were perfect!!

Then the final shirt arrived in the beginning of September (after about 4 months). My experience with this shirt was so impressive as you guys can guess from the title. I would like to summarized as below:

  • Collar: the shape is perfect as I expected and the most important thing is that it’s very soft but it beautifully roll and maintain its shape all day long for both buttoned with tie all day long and an open collar look.
  • Cuff: as my preference that I like a snugged fit and I wanted my right cuff a bit wider to make room for my wrist watch, it turned out perfectly without any crease or discomfort which I experience from other tailor.
  • Fitting: my really love the silhouette of this shirt which hardly to explain why. What I can say is that it make me look slim and very elegant. And it’s very comfortable for both when I stay still and moving especially when I raise my arms the shirt still stay tucked in nicely.
  • Fabric: I chose a pale blue with a white micro stripe which has a subtle detail on the white strip like a stitching or some kind of weaving technique when you look closely it’s really elevate the look of the shirt
  • Details: Every detail of this shirt is very delicate and when to see and touch it reflects a high craftsmanship i.e. buttons, button holes, all stitching, side seams and even the initial embroidery is very crisp.

All in all I am so impressed with this shirt and if I have a chance, I wouldn’t think twice to commission more.

In someday, we might want to wear a very nice shirt for rewarding ourself for what we have achieved or make us feel more confident for a special day. Ascot Chang shirt is that kind of shirt for that kind of days.

An unexpected Nomos

Nomos has been my favorite watch brand from Glashütte
Germany with its heritage, manufacturing almost 100% in-house, and Bauhaus design language.

My love at first sight with Nomos is their Sport Collection; “Club” and their Contemporary Collection; “Orion” and “Zürich” instead of their Classic Collection; “Tangente” and “Lugwig” which contains all of the Nomos signature design element i.e. straight & slim lug, perfect circle case, original fonts, etc.

However, because of its famous “long lug” that always stopped me to get one into my collection.

Just recently, I had a chance to see and touch Tangente in the metal for the first time. I told myself that it’s very outstanding from the others siblings. Once I put it on my wrist, all the feeling that I afraid of the lug, the boring round case, and a very simple dial was disappeared.

This watch put a big smile on my face and I knew in the sudden this is the Nomos that I’ve been searching for a long long time. Sometime boring and simple designs are not the bad things and you have to really see the watch up close in the metal and put it on your wrist to really understand and to know exactly what you feel with that watch. The same way that I experienced with this Nomos Tangente 38mm.

Rolex Story: A Full-Circle of In-house Watch Maker

กลับมาอีกครั้งนะครับ หลังจากหายไปนานจากการเขียน blog ทั้งเรื่องของการแต่งตัว และนาฬิกา

เนื่องจากผมมีโอกาสได้อ่านบทความที่เกี่ยวกับนาฬิกาแบรนด์นึง ที่ผมคิดว่าทุกคนคงรู้จักกันดี นั่นก็คือนาฬิกา Rolex นั่นเองนะครับ และจากการที่ผมได้มีโอกาส เป็นเจ้าของและใช้งานนาฬิกาแบรนด์นี้ มาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี (ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537) ทำให้ผมมีความชื่นชม และไว้วางใจกับนาฬิกา Rolex เป็นอย่างมาก

ผมคิดว่าเพื่อนๆ ทุกคนคงพอจะทราบข้อมูลพื้นฐานของนาฬิกาแบรนด์นี้กันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมา รุ่น Iconic ต่างๆ และในเรื่องของคุณภาพของวัสดุ ความเที่ยงตรงและความทนทานของกลไกขับเคลื่อน

แต่ผมคิดว่าเพื่อนๆ หลายๆคนคงยังไม่ทราบว่า จริงๆ แล้ว นาฬิกา Rolex มีขั้นตอนการผลิตอย่างไร ที่ว่าทำทุกอย่าง in-house นั้น รายละเอียดจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร แต่ที่รู้กันแน่ๆ คือว่าผลิตในประเทศสวิสฯ ^_^

ดังนั้นวันนี้ผมอยากขอถือโอกาสนี้ แบ่งปันข้อมูลที่ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ จากที่ผมได้อ่านบทความ “Geography of Excellence” ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสาร “The Rolex Magazine issue#11”

ขอเริ่มกันเลยนะครับ

อย่างที่ผมเกริ่นนำไปว่า เพื่อนๆ ทุกคน คงจะทราบกันดีว่า Rolex is Swiss Made และคงพอจะเดากันได้ว่า น่าจะอยู่ในเมือง Geneva ซึ่งก็ถูกต้องครับ เพราะสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Geneva แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกหนึ่งเมืองที่เกี่ยวข้องคือเมือง Bienne (ออกเสียงว่า “เบียน”)

จากที่ทุกคนได้ทราบข้อมูลมาว่า Rolex ออกแบบ พัฒนา ผลิตชิ้นส่วน ประกอบ ทดสอบ และตรวจสอบคุณภาพ ทุกขั้นตอนภายใต้โรงงานของ Rolex เองทั้งหมด โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 โลเคชั่นหลักๆ ที่น่าสนใจมากคือ นาฬิกาทุกเรือนจะเดินทางเป็นวัฏจักรดังนี้ครับ

  • Geneva – Les Acacias I: Creators of Design 
  • Plan-les-Ouates (ออกเสียงว่า พล็อง-เล-ว็อท): Masters of Materials
  • Bienne (ออกเสียงว่า เบียน): Artisans of Movement
  • Chêne-Bourg (ออกเสียงว่า เชน-เบิร์ก): Alchemists of Beauty
  • Geneva – Les Acacias II: Custodians of the Seal

โดยทาง Rolex จะแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละโลเคชั่น ดังนี้

Photo credit: www.rolexmagazine.com
  • CREATORS OF DESIGN: จุดกำเนิด การวิจัยและพัฒนาต้นแบบ และงานออกแบบ อยู่ที่ Geneva – Les Acacias I
    • ณ ที่ตั้งอาคาร Rolex ใน Acacias แห่งนี้ เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ อันเป็นที่ทำงานของ ผู้บริหารระดับสูง ฝ่ายบริหาร และรวมไปถึง เวิร์คช็อปสำหรับการประกอบชิ้นส่วนนาฬิกาในขั้นตอนสุดท้าย รวมทั้งศูนย์ทดสอบ Superlative Control Testing อีกด้วย (ผมจะขอกลับมาอธิบายละเอียดอีกครั้ง ในหัวข้อ Geneva – Les Acacias II)
    • สำหรับขั้นตอนแรกของการผลิตนาฬิกา ทีมงานที่สำคัญที่อยู่ ณ สำนักงานแห่งนี้คือ ทีมงานวิจัย และพัฒนา และ ทีมงานออกแบบ
    • โดยที่ไอเดียสำหรับการผลิตนาฬิการุ่นใหม่ๆ ของ Rolex นั้น อาจจะใช้เวลาในการพัฒนานานหลายปี โดยเป็นการทดลอง และทดสอบไอเดียกัน ระหว่างทีมงานนักวิจัยฯ​ และทีมออกแบบ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของศาสตร์ต่างๆ ที่เราคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็น นักเคมี นักวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ นักวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียง นักสถิติ รวมไปถึง นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ จนสามารถพัฒนาการไปถึงการผลิตนาฬิกาต้นแบบ
    • หลังจากได้นาฬิกาต้นแบบออกมา ผ่านการปรับแบบในแง่ของการออกแบบ จนถูกพัฒนาไปจนถึงการผลิตนาฬิกาต้นแบบที่ทำงานได้จริง (functioning prototypes) ซึ่งหลังจากนี้จะถูกนำไปทดสอบการทำงาน และความอึด ถึก ทน ตามคุณสมบัติเฉพาะตัวของนาฬิกา Rolex
    • โดยการทดสอบดังกล่าว จะมีการจำลองลักษณะการเคลื่อนไหว และการใช้งานของมนุษย์จริงๆ เช่น การทดสอบการทนการกระแทก (shock resistance) ผ่านการจำลองเหตุการณ์มากกว่า 20 รูปแบบ การจำลองการใช้งานผ่านกาลเวลา (aging and mechanical wear and tear) โดยที่ทาง Rolex ได้มีการใช้หุ่นยนต์ และเครื่องทดสอบที่ออกแบบ เพื่อใช้กับทาง Rolex โดยเฉพาะ ซึ่งหุ่นยนต์และเครื่องทดสอบดังกล่าว สามารถจำลองการใช้งานนาฬิกา 1 ปี ด้วยการใช้เวลาเพียง 2 วันครึ่งเท่านั้น
    • เราจะเห็นได้ว่า Rolex ให้ความสำคัญกับการทำงานของกลไกให้ทนทานในระยะเวลาอันยาวนาน ผ่านการทดสอบอันหนักหน่วง ด้วยเหตุนี้ นาฬิการุ่นใหม่ของ Rolex ทุกเรือนจึงใช้เวลาพัฒนาที่ยาวนานเพื่อให้แน่ใจว่า นาฬิกาต้นแบบนั้นพร้อมที่จะส่งต่อไปยังขั้นตอนการผลิตจริงต่อไป
Photo Credit: www.rolexmagazine.com
  • MASTERS OF MATERIALS: ปรมาจารย์ด้านวัสดุ และคลังนิรภัยเก็บโลหะมีค่าใต้ดินที่ Plan – les – Ouates (ออกเสียงว่า พล็อง-เล-ว็อท)
    • เนื่องจากที่ทำการแห่งนี้ต้องมีการจัดเก็บวัสดุ และโลหะมีค่าประเภท ทองคำ จำนวนมากเพื่อใช้ในการผลิตตัวเรือน และสายนาฬิกา ผมเลยอยากขอพูดถึงตัวอาคาร และระบบจัดการในแง่ของตัวเลขที่น่าสนใจในอาคารแห่งนี้ก่อนนะครับ
  • อาคารมีชั้นเหนือดินจำนวน 5 ชั้น และยังมีชั้นใต้ดินทั้งหมดอีก 5 ชั้น
  • รวบรวมวัสดุประเภทต่างๆ ประมาณ 500,000 ชนิด โดยมีช่องจัดเก็บมากกว่า 60,000 ช่อง
  • โดยช่องจัดเก็บดังกล่าวจะถูกแบ่งแยกไว้เป็น 2 ส่วน อย่างละเท่าๆ กัน เพื่อหากเกิดเหตุฉุกเฉินในส่วนหนึ่ง ก็ยังมีอีกส่วนสามารถทำงานต่อเนื่องได้โดยไม่สะดุด (redundancy)
  • พื้นที่โดยรวมของชั้นใต้ดินทั้งหมดเทียบได้กับ สระว่ายน้ำมาตราฐานโอลิมปิกจำนวน 10 สระ
  • และระบบจัดเก็บ และระบบปฏิบัติการทั้งหมดผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และแขนกล 100% ไม่ใช่มนุษย์ในการจัดการ
  • น่าทึ่งมั๊ยละครับ กับความอลังการในชั้นใต้ดิน กลับขึ้นมาเหนือดิน อันเป็นสถานที่ทำงานของเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านวัสดุ ก็อลังการไม่แพ้กัน เพราะทาง Rolex เลือกที่จะติดตั้ง เตาหลอม และโรงหล่อ โลหะทองดำ ทั้ง 3 ประเภท Yellow Gold, White Gold, และ Everose Gold เป็นของตนเอง เพื่อที่จะสามารถควบคุมงานผลิตตัวเรือน และสายนาฬิกา จนกระทั่งชิ้นส่วน บางตัวที่ใช้ในกลไกขับเคลื่อน ตั้งแต่ต้นจนจบ 100%
  • นอกเหนือจากโรงหล่อทองคำแล้ว ก็ยังมีเครื่องจักรที่ออกแบบโดยเฉพาะเพื่อให้ทาง Rolex ใช้ในการ ตัด ปั๊ม โลหะ Oystersteel อันเป็นโลหะผสม (Alloy) สูตรเฉพาะที่ทาง Rolex คิดค้นขึ้นโดยมีคุณสมบัติในการทนต่อกัดกร่อนมากเป็นพิเศษ ออกมาเป็น ตัวเรือน และชิ้นส่วนของสายนาฬิกาต่อไป
Photo Credit: www.rolexmagazine.com
  • หลังจากที่ได้ชิ้นส่วนดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ขั้นตอนสำคัญที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ งานขัดแต่ง โดยงานขัดเงาแบบ mirror effect จะต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้ชำนาญการ ที่ผ่านการเรียนรู้ ฝึกฝนสายตามาอย่างยาวนาน เพื่อให้ได้ความเงางาม และแสงสะท้อนที่สมบูรณ์ที่สุด รวมไปถึงการตรวจสอบส่วนเวาส่วนโค้งทั้งหมดของตัวเรือน เพื่อเป็นการการันตีว่าผู้ใช้งาน สามารถใส่นาฬิกาได้อย่างสบายข้อมือมากที่สุด โดยทั้งหมดนี้ ยังรวมไปถึงการขัดแต่งชิ้นส่วนในกลไกขับเคลื่อนนาฬิกาอีกด้วย
Photo Credit: www.rolexmagazine.com
  • ARTISANS OF MOVEMENT: ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะกลไกแห่งเวลา ณ Bienne (อ่านเสียงว่า เบียน)
  • Rolex ตั้งใจให้ที่ทำการแห่งนี้มีไว้สำหรับงานในส่วนของการประกอบกลไกขับเคลื่อนนาฬิกาทั้งหมด โดยห้องทำงานได้ถูกแบบให้รับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด และอากาศในห้องจะผ่านเครื่องกรองอากาศ และจะถูกมอนิเตอร์ตลอดเวลา เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีฝุ่น หรือสิ่งแปลกปลอมใดๆ หลุดเข้าไปได้
  • งานประกอบชิ้นส่วนทั้งหมด ยังเป็นการประกอบด้วยมือของช่าง โดยมีการตรวจสอบทั้งทางสายตา และด้วยเครื่องมืออิเล็กทรอนิค ว่ามีชิ้นส่วนใดที่ประกอบขึ้นมาไม่ได้ตามมาตราฐานที่ควรจะเป็น
  • เป็นที่ทราบกันดีว่า Rolex ผลิตชิ้นส่วนทั้งหมด “In-house” แต่ทุกคนทราบหรือไม่ว่า Rolex ได้พัฒนาและคิดค้นชิ้นส่วนที่มีความสำคัญกับกลไกนาฬิกา เพื่อใช้กับนาฬิกา Rolex โดยเฉพาะ เช่น
    • Perpetual Rotor
    • Chronergy Escapement
    • Paraflex shock absorber
    • Parachrom & Syloxi hairsprings (มีเพียงผู้ผลิตนาฬิกาไม่กี่แบรนด์ในโลกเท่านั้น ที่มีศักยภาพในการผลิต hairspring ได้เอง)
    • Microstella Nuts
    • แม้แต่ น้ำมันหล่อลื่นสำหรับกลไก Rolex ยังคิดค้นสูตรเพื่อใช้สำหรับ Rolex โดยเฉพาะ
  • หลังจากที่ประกอบกลไกเสร็จสมบูรณ์ กลไกดังกล่าวจะถูกส่งไปที่ศูนย์ COSC (Contrôle Officiel Suisse des Chronomètres) หรือถ้าเป็นภาษาอังกฤษคือ Swiss Official Chronometer Testing Institute ซึ่งจะใช้เวลาทั้งหมด 15 วัน โดยกลไกที่ผ่านการทดสอบนี้ จะมีความคลาดเคลื่อนที่ -4/+6 วินาที ต่อวัน
  • เครื่องกลไกทั้งหมดที่ผ่าน COSC จะถูกนำกลับมาที่สำนักงานที่ Biene อีกครั้งเพื่อทำการตรวจสอบอีกครั้ง ก่อนจะถูกส่งต่อไปที่ สำนักงานที่ Acacias อีกครั้งเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนประกอบเครื่องเข้ากับตัวเรือน
Photo Credit: www.rolexmagazine.com
  • ALCHEMISTS OF BEAUTY: นักปรุงแต่งความงาม แห่งเมือง Chêne-Bourg (ออกเสียงว่า เชน-เบิร์ก)
    • ตอนนี้ทุกคนทราบกันแล้วนะครับว่า ตัวเรือนถูกสร้างขึ้นที่ Plan-les-Ouates หัวใจการขับเคลื่อนเริ่มต้นที่ Bienne และอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญของนาฬิกา ซึ่งก็คือส่วนของหน้าปัด ซึ่งถือว่าเป็นหน้าตาของนาฬิกาเกิดขึ้นที่นี้ เมือง Chêne-Bourg
    • ที่ทำการแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นอาคารที่เล็กที่สุด ในทั้งหมด 4 แห่ง แต่ก็ยังใช้เทคโนโลยีแขนกล และสายพาน สำหรับจัดส่งชิ้นส่วนต่างๆ (รวมไปถึงอัญมณีต่างๆ) ให้กับช่างประกอบชิ้นส่วนบนหน้าปัดนาฬิกา
  • ส่วนประกอบต่างๆ ที่เราเห็นกันคุ้นตาบนหน้าปัดนาฬิกา Rolex เกิดขึ้นใน workshop แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์คำว่า “Rolex”, “Oyster Perpetual Officially Certified” หรือ “Superlative Chronometer” และการวางชิ้นส่วน Logo มงกุฎห้าแฉก และหลักชั่วโมง ยังเป็นการวางด้วยมือช่างทั้งหมด
  • ในส่วนของการเล่นลวดลาย การขัดแต่งบนหน้าปัด จะใช้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีระดับสูงเพื่อความเที่ยงตรงระดับไมครอน
  • ทุกคนคงพอจะทราบกันดีว่า Rolex มีการใช้วัสดุหลากหลายมากๆ ที่ใช้ในการตกแต่งหน้าปัด เช่น ทองคำ หรือจำพวกวัสดุจากธรรมชาติ เช่น หินสวยงาม หินอุกกาบาต และเปลือกหอยมุก และยังรวมไปถึงอัญมณีต่างๆ เช่น เพชร ทับทิม ไพลิน มรกต ฯลฯ
  • มาถึงจุดนี้ จะไม่พูดถึงการคัดสรรอัญมณีเพื่อนำมาประดับบนนาฬิกา Rolex คงไม่ได้ ทุกคนทราบหรือไม่ว่า บนนาฬิกา Daytona ที่เป็นหน้าปัด Rainbow นั้นใช้ไพลิน 36 ชิ้น ในเฉดสีที่เลือกเฉพาะเจาะจงโดยนักอัญมณีศาสตร์ จากทาง Rolex หลังจากนั้นถึงถูกนำมาจัดเรียงด้วยมือชิ้นต่อชิ้น ด้วยเครื่องมือในการเจียระไน ปรับแต่งเพื่อให้ได้การไล่เฉดสีรุ้งที่สวยงามตามที่เห็น
  • อัญมณีที่ถูกคัดเลือก และส่งมาที่นี่ จะต้องถูกตรวจสอบแหล่งที่มา และความบริสุทธิ์ ความแท้ของวัสดุ และผ่านตามมาตราฐานที่เข้มงวดของทาง Rolex เท่านั้น จึงสามารถส่งต่อขั้นตอนการติดตั้งบนหน้าปัด
  • ที่นี่ยังใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการ สร้างสรรค์สีสันใหม่บนหน้าปัดนาฬิกา โดยมีเหล่า นักเคมี และนักฟิสิกส์ ใช้เทคนิคในการผสมสีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสีเคลือบเงา หรือสีจากโลหะต่างๆ ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย Rolex ถือว่าเป็นผู้นำในการผลิตสร้างสรรค์หน้าปัดนาฬิกาแบบใหม่ๆ ในโลก
  • ในส่วนของชั้นใต้ดิน เป็นที่ทำงานในส่วนของการผลิตเซรามิค ที่ทุกคนคุ้นตากันบนขอบ Bezel สองสีของนาฬิกา GMT-Master II ตามที่ทุกคนทราบกันว่า เซรามิค มีคุณสมบัติที่สำคัญคือป้องกันรอยขีดข่วน และมีระดับความแข็งที่สูงมาก และ Rolex เป็นผู้คิดค้นการนำเซรามิค 2 สีมารวมกันอยู่ในวัสดุชิ้นเดียวกันได้ เป็นแบรนด์แรกของโลก
Photo Credit: www.rolexmagazine.com
  • CUSTODIANS OF THE SEAL: ปัจฉิมบท กับผู้แลการลงผนึก Green Tag ณ Les Acacias II
    • ขั้นตอนในการประกอบชิ้นส่วนต่างๆ จะอยู่ใน ห้องทำงานที่จัดการ และควบคุมสภาพอากาศให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา และยังควบคุมความชื้นให้อยู่ในช่วง 45-50% ตลอดเวลา ทุกคนในห้องจะต้องสวมชุดป้องกันไฟฟ้าสถิต และใส่ถุงคลุมรองเท้า เพื่อป้องกันฝุ่นละอองไม่ให้เข้ามาในห้องทำงาน และที่แย่ที่สุดคือเข้าไปอยู่ในตัวเรือนนาฬิกา
  • การประกอบตัวเรือน การติดตั้งเข็มลงบนหน้าปัด และการใส่กลไกเข้าไปในตัวเรือน ทั้งหมดนี้ยังคงทำด้วยมือช่างนาฬิกาทั้งหมด และในแต่ละขั้นตอนยังคงต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งการทำงาน และความสวยงาม ผ่านตามมาตราฐานของทาง Rolex
  • หลังจากประกอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว นาฬิกาทุกเรือนจะถูกส่งต่อไปยัง ศูนย์ทดสอบ Superlative Control ซึ่งตั้งอยู่ชั้นใต้ดินของอาคารที่ Acacias แห่งนี้ โดยการทดสอบจะคลอบคลุมถึง ความเที่ยงตรงของกลไก การกันน้ำ ระบบการขึ้นลานอัตโนมัติ และการสะสมพลังงาน
  • การทดสอบทั้งหมดจะใช้เครื่องจักรอัตโนมัติทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจว่าขั้นตอนทั้งหมดนั้น ถูกดำเนินการอย่างถูกต้องทั้งหมด
Photo Credit: www.rolexmagazine.com
  • โดยการทดสอบความเที่ยงตรงของกลไก ระบบการขึ้นลานฯ และการสะสมพลังงาน จะทำผ่านเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อจำลองสภาวะการใส่ใช้งานของมนุษย์จริงๆ ตามสภาพต่าง โดยจะแบ่งเป็น position ที่ต่างกัน 7 รูปแบบ และแต่ละรูปแบบจะมีการทดสอบเคลื่อนไหวแบบหมุน เหวี่ยงอีกด้วย การทดสอบเช่นนี้ เพื่อให้แน่ใจว่านาฬิกายังสามารถเดินได้เที่ยงตรงไม่ว่าจะถูกสวมใส่ด้วยผู้ใช้งานทุกรูปแบบใดก็ตาม และเกณฑ์ความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้เกิดขึ้นได้คือ -2/+2 วินาทีต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์ที่สูงกว่า COSC อย่างมาก
  • ในส่วนของการทดสอบการกันน้ำ ทุกคนคงพอจะทราบกันดีว่า Rolex เป็นผู้นำในการคิดค้น ตัวเรือนกันน้ำ Oyster case และระบบขันเกลียวเม็ดมะยม Twinlock / Triplock และ Ringlock System โดยการทดสอบจะทำให้ ถังควบคุมแรงดันน้ำ (Hyperbaric Tank) โดยจะแบ่งการทดสอบ โดยเพิ่มแรงดันน้ำให้สูงกว่าค่าระดับที่ระบุในสเปค ตามนี้ครับ
    • นาฬิกากันน้ำระดับ 100 เมตร จะทดสอบที่แรงดันสูงกว่าที่ระบุ 10%
    • นาฬิกากันน้ำระดับ 300 เมตร 1,220 เมตร 3,900 เมตร และ 11,000 เมตร จะทดสอบที่แรงดันสูงกว่าที่ระบุ 25%
Photo Credit: www.rolexmagazine.com
  • นาฬิกา Rolex ทุกเรือนจะต้องผ่านการทดสอบ Superlative Control เพื่อให้ได้รับตรา Superlative Chronometer บนหน้าปัดนาฬิกาทุกเรือน และหลังจากที่ตัวเรือนได้ถูกประกอบเข้ากับสายนาฬิกา จึงจะได้รับ ตราผนึกสีเขียว (Green Seal) และการรับประกันทั่วโลกเป็นเวลา 5 ปี
Photo Credit: www.rolexmagazine.com
  • จากจุดเริ่มต้นที่ Les Acacias ชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัวเรือน กลไก หน้าปัด เข็ม กระจกแซฟไฟร์ และสายนาฬิกา จากที่ต่างๆ จะกลับมารวมกันที่นี้อีกครั้งเพื่อประกอบเข้ารวมเป็นตัวนาฬิกาที่สมบูรณ์ อันถึงเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทาง ก่อนที่จะถูกนำส่งไปยังตัวแทนจำหน่ายต่อไป

เป็นอันจบเรื่องราวเกี่ยวกับวงจรการผลิตนาฬิกา Rolex ไปแล้วนะครับ หวังว่าสิ่งที่ผมเล่าให้เพื่อนๆ ทุกคนในบทความนี้ จะทำให้ทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับนาฬิกายี่ห้อ Rolex กันลึกซึ้งขึ้นไปอีกไม่มากก็น้อยนะครับ

สุดท้ายนี้ หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะ ข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่าง ตรงไหน อย่างไร สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ ทางด้านล่างได้เลยนะครับ ผมยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน และหากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผม มาให้กำลังใจกันโดยการกดติดตาม IG: @mickyjickyและ @my.six.point.five.inch.wrist กันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

มารู้จักที่มาของนาฬิการหัส W10 กันครับ ว่าทำไมผมถึงหลงรักนาฬิกาทหารจากฝั่งอังกฤษเรือนนี้ ตอนที่ 2

จากตอนที่แล้ว เราหยุดกันไว้ที่จุดสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เราได้รู้จัก “Trench Watch” และ “WWW – Wrist Watch Waterproof” และ “Dirty Dozen” แต่การพัฒนานาฬิกาเพื่อการทหารยังดำเนินต่อไป เนื่องจากยังมีความต้องการอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการทางการทหาร เพื่อเข้าสู่ยุค “สงครามเย็น (Cold War)”

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (Post War Period) จนถึงช่วงยุคสงครามเย็น (Cold War) (ค.ศ. 1947 – 1991 หรือ พ.ศ. 2490 – 2534)

กินระยะเวลายาวนานถึง 44 ปี ซึ่งตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 9

และในช่วงเวลานี้ นี่เองที่เป็นจุดกำเนิดของนาฬิการหัส W10 ยิ่งไปกว่านั้น นาฬิกาที่หลายๆ คนอาจจะพอคุ้นตาอย่าง JLC for RAF (Royal Air Force) และ IWC Mark XI ก็ถือกำเนิดในยุคนี้เช่นเดียวกัน โดยในช่วงทศวรรษ 1960s ทาง MoD (Ministry of Defence) เริ่มต้นกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อผลิตนาฬิกาที่ออกแบบโดยกองทัพอังกฤษ และผลิตในประเทศอังกฤษ ซึ่งผู้ผลิตนาฬิกาจากอังกฤษคนนั้น ก็คือ Smiths และนาฬิกาดังกล่าว จึงถูกเรียกว่า Smiths W10 นั่นเอง

จุดกำเนิด Smiths W10

Smiths คือ กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรม สัญชาติอังกฤษที่ผลิตอุปกรณ์จับเวลาให้กับกองทัพอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1947 ทาง Smiths ยังคงดำเนินการผลิตนาฬิกาต่อมา จนมาเริ่มผลิตนาฬิการุ่น High grade สำหรับพลเรือน ซึ่งผลิตโดยคนอังกฤษ และภายในประเทศอังกฤษทั้งหมดทุกขั้นตอน

ภาพนาฬิกา Smiths W10 รุ่นปี 1968 ผลิตให้กับกองทัพบกอังกฤษ แสดงให้เห็นรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ตามคำอธิบายด้านล่าง (Photo Credit: www.anordain.com)

และอีก 21 ปีต่อมา ในปี 1968 ทางกองทัพอังกฤษ มีนโยบายที่จะออกนาฬิกา W10 ซึ่งเป็นมาตราฐานใหม่ในการออกแบบนาฬิกาทางการทหารของทางฝั่งกองทัพอังกฤษ โดยมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  • “White on Black” คือมีพื้นหน้าปัดเป็นสีดำ ส่วนหลักชั่วโมง นาที และเข็มนาฬิกาเป็นสีขาว เพื่อการอ่านค่าเวลาที่ชัดเจนที่สุด
  • หลักชั่วโมงเป็นตัวเลขอารบิก และมีสัญลักษณ์ รูปสามเหลี่ยม ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา เพื่อใช้เป็นหลักในการอ่านเวลา ว่าปลายสามเหลี่ยมจะต้องชี้ขึ้นเสมอ เพื่อป้องกันการสับสน ระหว่างตำแหน่ง 12 นาฬิกา และ 6 นาฬิกา
  • หลักนาที เป็นรูปแบบ “รางรถไฟ” หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า “Railroad Minute Track”
  • ใช้สารเรืองแสง Tritium บนตัวเข็มชั่วโมง เข็มนาที และหลักชั่วโมง พร้อมด้วยสัญลักษณ์ ตัวอักษร T อยู่ในวงกลม อันเนื่องจาก Tritium เป็นสารกัมมันตรังสี
  • มีการระบุตราสัญลักษณ์ “หัวลูกศร” (Broad Arrow) เพื่อบ่งบอกว่าเป็นสมบัติของทางกองทัพฯ
  • ต้องสามารถดึงเม็ดมะยม เพื่อหยุดเข็มวินาทีได้ (Hacking Second Hand) สำหรับการ sync เวลาให้ตรงกัน สำหรับภารกิจต่างๆ

ดังนั้นการที่ Smiths ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอังกฤษแท้ๆ มาผลิตนาฬิกา W10 จึงถือว่าเป็นนาฬิกา W10 รุ่นเดียวที่ผลิตจากบริษัทสัญชาติอังกฤษ และผลิตในประเทศอังกฤษทั้งหมด โดยรุ่นอื่นๆ ของ W10 ที่ตามมาภายหลังนั้น ผลิตออกประเทศอังกฤษทั้งหมด

ด้านหลังตัวเรือนของนาฬิกา Smiths W10 รุ่นปี 1968 แสดงให้เห็นถึงการใช้ Nato Stock Number – NSN ตามคำอธิบายด้านล่าง (Photo Credit: www.anordain.com)

นอกจากนั้น นาฬิกา Smiths W10 ยังถึงเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้อักษรย่อ “NSN” (Nato Stock Number) ซึ่งเป็นรหัสทางการทหาร ที่ใช้อย่างแพร่หลายกับนาฬิกาในกองทัพอังกฤษ ในช่วงยุค Post War ยกตัวอย่างเช่น W10/6645-99 ซึ่งอ่านค่าได้ว่า

  • 6645 เป็นรหัส NSN สำหรับอุปกรณ์จับเวลา
  • 99 เป็นรหัส NSN เพื่อแสดงถึงประเทศอังกฤษ

จุดกำเนิด Hamilton W10

จนเข้าสู่ช่วงปีทศวรรษที่ 1970s กองทัพสหราชอาณาจักร มีปัญหาทางการเงิน เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทั้งประเทศ สายการผลิตนาฬิกาของ Smiths ต้องหยุดทำการ และได้มีบริษัทใหม่ซึ่งคือ Hamilton มาเริ่มการผลิตนาฬิกา W10 แทนเวอร์ชั่นของ Smiths โดยได้ผลิตออกมาในช่วงปี 1973-1976

นาฬิกา Hamilton W10 รุ่นปี 1975 จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบต่างๆ ไม่ต่างไปจาก Smith W10 ยกเว้นตัวเรือนที่เป็นทรง Tonneau (Photo Credit: www.anordain.com)

โดยที่เวอร์ชั่นของ Hamilton นั้นขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 649 ซึ่งก็อยู่บนพื้นฐานของเครื่อง ETA 2750 (เครื่องสวิสฯ) พร้อมด้วยกลไกหยุดเข็มวินาที แต่มาในตัวเรือนทรง Tonneau Shaped Case ซึ่งเป็นที่นิยมในยุค 70s โดยตัวเรือนถูกออกแบบให้เป็นชิ้นเดียว (monocoque design) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกันน้ำ โดยการเข้าถึงกลไกต่างๆ จะต้องทำผ่านการถอดกระจกด้านหน้าเท่านั้น

แต่ยังคงใช้สารเรืองแสง Tritium พร้อมด้วยสัญลักษณ์อักษร T อยู่ในวงกลม โดยสาร Tritium นั้นเป็นสารกัมมันตรังสี ที่เบาบางกว่า Radium เป็นอย่างมากคือมี half-life ที่ 12 ปี (เมื่อเทียบกับ Radium ที่มี half-life ที่ 1,600 ปี) และถึงแม้ว่าเมื่อเสี่ยมสภาพแล้วจะไม่เรืองแสง แต่ Tritium จะเปลี่ยนสีตามกาลเวลาเป็นสีครีม (หรือที่เรียกว่า patina) อันเป็นที่ชื่นชอบของนักสะสมนาฬิกาวินเทจ

ด้านหลังของนาฬิกา Hamilton W10 รุ่นปี 1975 ผลิดให้กับ กองทัพเรือ จะเห็นได้จากรหัส 0552 ใช้สำหรับ Royal Navy (Photo Credit: www.anordain.com)

โดยที่นาฬิกา Hamilton W10 นี้ถูกส่งให้ใช้กับทั้ง 3 กองทัพ คือ กองทัพบก, เรือ, และอากาศ โดยใช้รหัสแตกต่างกัน คือ

  • W10 ใช้สำหรับกองทัพบก (British Army)
  • 0552 ใช้สำหรับกองทัพเรือ (Royal Navy) แต่มีส่วนหนึ่งเป็นจำนวนไม่มากที่ใช้รหัส 0555 สำหรับ Royal Marines และ/หรือ Royal Navy)
  • 6BB ใช้สำหรับกองทัพอากาศ (Royal Air Force – RAF)

ในช่วงปลายของทศวรรษที่ 1970s ทาง Hamilton ได้รับผลกระทบจากวิกฤต Quartz Crisis ไม่ต่างจากบริษัทผลิตนาฬิกาอื่นๆ และสุดท้ายต้องถูกยกเลิกจากการผลิตนาฬิกาให้กับทางกองทัพฯ

จุดกำเนิด CWC W10

อย่างไรก็ดี ยังมีผู้บริหารของ Hamilton ที่เป็นคนสัญชาติอังกฤษชื่อ Mr. Ray Mellor มองเห็นลู่ทางว่ายังมีความต้องการนาฬิกาทหาร จากทาง Ministry of Defense (MoD) ดังนั้นในช่างเวลาดังกล่าว Mr. Ray Mellor ได้ก่อตั้งบริษัท Cabot Watch Company (CWC) เพื่อสานต่อการผลิตนาฬิกาให้กับทางกองทัพต่อจาก Hamilton

นาฬิกา CWC W10 รุ่นแรก ด้านหน้า (ปี 1976) และ ด้านหลัง (ปี 1977) ที่ส่งให้ทางกองทัพอังกฤษ (Photo Credit: www.anordain.com)

CWC เริ่มผลิตนาฬิกาส่งให้ทางกองทัพอังกฤษตั้งแต่ปี 1976 โดยใช้วัสดุ อุปกรณ์ จากสวิส เหมือนทาง Hamilton ทุกประการ ยกเว้นแค่เปลี่ยนโลโก้เป็น CWC บนหน้าปัดแทน แล้วหลังจากนั้นทาง CWC ก็กลายเป็นผู้ผลิตนาฬิกาหลักให้กับทางกองทัพฯ โดยมีการขยายไลน์การผลิตโดยมี รุ่น G10, มีนาฬิกาจับเวลา (chronograph) และนาฬิกาดำน้ำ จนไปถึงนาฬิกาสำหรับ หน่วยรบพิเศษอีกด้วย

บทสรุป

ก็จบไปแล้วนะครับ สำหรับประวัติ และที่มาของนาฬิกา W10 ที่ผมเชื่อว่า ใครที่ชื่นชอบนาฬิกาแนวทหาร น่าจะต้องรู้จัก หรือไม่ก็คุ้นกับรูปแบบของหน้าตานาฬิกา แต่ไม่ทราบว่ามันคือ W10 และผมหวังว่าข้อมูลที่ผมนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ จะทำให้หลายๆ คนรู้จักนาฬิกาเรือนนี้มากขึ้นนะครับ

ข้อมูลอ้างอิงมาจากบทความ: 100 Years of British Military Watches – Part 2 – anOrdain เพื่อนๆ สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้นะครับ

ขอแถมนิดนึง สำหรับใครที่มีความคิดเหมือนกับผมที่ชื่นชอบ และอยากจะหานาฬิกา W10 มาใส่ และเก็บไว้ในคอลเล็คชั่น แต่ไม่อยากไปตามหาตัววินเทจ หรืออยากใส่โดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการดูแลนาฬิกาวินเทจ ผมขอแนะนำนาฬิกา 2 ยี่ห้อ ที่ผลิตตามรูปแบบเดิมไว้มากที่สุด และเพื่อนๆ ยังหาซื้อโดยตรงจาก Retailer ได้ ณ ปัจจุบัน คือ

เพื่อนๆ สามารถหาซื้อนาฬิกาเรือนนี้ได้จากเว็บไซท์ Hamilton หรือตัวแทนจำหน่ายทั่วไป หรือตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
  • Smiths Military PRS-29A by TIMEFACTORS
    • Case size: 36mm
    • Movement: Sellita SW210 Mechanical
    • Thickness (mm): 11.1
    • Lug width: 18mm
    • Water Resistance: 10ATM/100m/330 feet
สำหรับเรือนนี้จะต้องสั่งจากเว็บไซท์ของ Timefactors ตรงจากทางอังกฤษ โดยต้องเป็นการ pre-order เป็นรอบๆ นะครับ

หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะ ข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่าง ตรงไหน อย่างไร สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ ทางด้านล่างได้เลยนะครับ ผมยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน และหากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผม มาให้กำลังใจกันโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist กันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!

ทำไมถึงแต่งตัวสไตล์ classic menswear?

หลังจากที่ห่างจากการเขียนบทความลงบนเว็บไซต์ มาสักพักใหญ่ๆ เนื่องจากงานหลักผมที่ทำอยู่นั้น เริ่มกลับมาอยู่ในช่วงที่ผมต้องให้ความสำคัญมากขึ้น แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้สะดุดกับคำถามจากน้องที่รู้จักกันเป็นอย่างดีท่านนึง ซึ่งน้องคนนี้อาจจะไม่ได้มีความคุ้นเคยกับการแต่งตัวสไตล์ classic menswear แต่น้องท่านนี้ก็เป็นหนึ่งใน follower ใน IG ของผม น้องคนนี้สงสัยว่าผมทำอะไรใน IG เลยถามผมว่า “ทำไมถึงแต่งตัวสไตล์ที่พี่แต่งอยู่?”

เนื่องจากบทสนทนานี้เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร ซึ่งผมก็ตอบไปตามที่ผมนึกคำตอบได้ ณ ตอนนั้น และด้วยบริบทการทานอาหาร และดื่มไวน์ไปหลายแก้ว (เพื่อนๆ คงพอจะนึกภาพตามออก) ทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ตอบน้องท่านนั้นไปว่า “มันเป็นความชอบส่วนตัว เป็นสิ่งที่ผมหลงไหล ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก” นั้น มันยังไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีเหตุผลอีกหลายๆ ข้อที่ผมนึกขึ้นมาได้ ระหว่างที่ผมเดินทางกลับบ้าน แล้วคำถามนี้มันก็เกาะอยู่ในหัวผมมาตลอด จนทำให้ผมรู้สึกว่า ผมต้องเขียนมันออกมาได้ตามนี้ครับ…

เราไม่ต้องวิ่งตามเทรนด์ หรือตามกระแสแฟชั่น

Classic Menswear in a modern environment. (photo credit: The Anthology)

เพราะขึ้นชื่อว่า classic ดังนั้น มันคือความ timeless มันไม่ใช่แฟชั่นที่เป็น seasonal ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ว่าการแต่งกายสไตล์นี้ ก็ไม่ใช่ว่า มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงนะครับ แต่มันเป็นการค่อยๆ ปรับเปลี่ยน (evolving over time) ดีเทลต่างๆ ไปตามยุคสมัย โดยที่ภาพรวมยังคงเดิม

ทำให้เรามีเวลามาใส่ใจในรายละเอียด เช่นการเลือกชนิดและสีของผ้า การจับคู่สี และการ mix & match กับเสื้อผ้าที่มีอยู่แล้วในตู้เสื้อผ้าของเรา

Fabric Selection Process

การใส่ใจในรายละเอียดที่พูดถึง เช่น การเลือกประเภทของผ้าที่จะใช้กับเชิ้ต, กางเกง หรือ jacket เพื่อให้เหมาะกับสภาพอากาศ และ/หรือ โอกาสที่เราจะใส่มัน อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือการเลือกประเภทของรองเท้า หรือชนิดของหนังสำหรับรองเท้าที่เราจะใส่ในโอกาสต่างๆ นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน มันยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ในเราพิจารณาอีกหลายอย่างนะครับ

และการที่การแต่งตัวสไตล์นี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน การที่เราได้ศึกษา ถึงที่มา และเหตุผลในการออกแบบเสื้อผ้า และ accessories ต่างๆ จะยิ่งที่ให้เราเข้าใจการใช้งาน และสามารถประยุกต์ให้เข้ากับ context ปัจจุบัน และถูกกาละเทศะได้ดียิ่งขึ้น เพราะการที่จะเราเพียงแต่ใส่ตามรูปแบบสมัยก่อนโดยที่ไม่เข้าใจเหตุผล อาจจะทำให้การใส่เสื้อผ้าสไตล์นี้ เหมือนเราใส่ costume (เหมือนในฉากหนัง หรือ งานแฟนซี) มากกว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่เราใส่ในชีวิตประจำวัน

ทำให้เราได้รู้จัก Artisans หรือ Tailors ที่เชี่ยวชาญในการผลิตงานของตนเองอย่างแท้จริง

เนื่องจากเสื้อผ้า และ accessories ต่างๆ ในสไตล์นี้ จะมีเหล่าช่างฝีมือในการผลิตผลงานแต่ละประเภทโดยเฉพาะ และโดยส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจมายาวนาน บางแบรนด์ มีอายุมากกว่า 100 ปี แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในงานนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง จะมีบ้างเป็นบางแบรนด์ที่เกิดขึ้นมาใหม่ แต่ก็มักจะเป็นทีมงานที่เคยทำงาน เรียนรู้มาจากแบรนด์เก่าแก่ แล้วก็แยกตัวมาเปิดแบรนด์ของตนเอง โดยใส่ดีไซน์ของตนเอง และความทันสมัยเข้าไปทำให้เกิด รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยที่ยังคงยึดถือในการเลือกวัสดุที่ดีเยี่ยม และให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากในคุณภาพการผลิต ยกตัวอย่างเช่น:

ช่างทำรองเท้า: Alden Shoes Company – USA / Crockett & Jones – UK / Berwick 1707 – Spain / Baudoin & Lange – UK /Edward Green – English Master Shoemaker

ช่างทำกระเป๋า: Rutherfords – English Bridle Accessories / Acate – Japan / C.C. Filson Co. – USA

ช่างทำเนคไท: Shibumi – Firenze / Seven Fold – Italy / Vanda Fine Clothing – Singapore

ช่างตัดสูท: Liverano & Liverano – Firenze / Ozario Luciano – Napoli / B&Tailor – Seoul / Ring Jacket – Japan / ASSISI Bespoke House – Seoul / The Primary Haus – Bangkok / Borrom Handcraft Tailor – Bangkok / Jin Tonic Bespoke Suit – Bangkok / The Manners Tailor House – Bangkok

ช่างตัดกางเกง: Ambrosi Napoli – Italy / Echizenya – Osaka & Tokyo

เราสามารถเลือกซื้อสินค้า ที่ผู้ผลิตใส่ใจกับรายละเอียด และความต้องการของลูกค้า มากกว่า สินค้าประเภท Fast Fashion หรือแม้แต่จาก Luxury Brands ก็ตาม

เราคงไม่มีโอกาส ที่จะบอกกับ Zara หรือ H&M หรือ Uniqlo ว่า ช่วยปรับ pattern ของเสื้อเชิ้ต หรือ jacket ให้เข้ากับรูปร่างคนไทย หรือคนเอเชียได้ หรือจะไปบอกให้ Dior หรือ Gucci ช่วยปรับรองเท้าให้หน้ากว้างขึ้นเพื่อให้เข้ากับเท้าของคนไทย จริงอยู่ว่าสินค้า Luxury Brand เราสามารถสั่ง Customization ได้แต่ราคาก็จะสูงมากๆ

The Decorum team met Crockett & Jones at Pitti Uomo 2023

แต่เราสามารถทำได้กับเหล่า Artisans และ Tailors ผ่าน Retailers หรือ ร้าน Multi Brand ที่เลือกสินค้า เหล่านั้นมาจำหน่ายในร้าน เช่น The Decorum Bangkok, The Somchai, The Refinement, Sprezzatura Eleganza, Talisman, etc. โดยผ่านการ collaboration ระหว่างทางร้านกับทางแบรนด์ หรือผ่านโปรแกรม MTM หรือ MTO ก็ได้เช่นกัน

เราได้มีโอกาสเจอตัว ได้พูดคุยโต้ตอบกับเจ้าของแบรนด์โดยตรง ที่เป็นทั้ง Artisans และ Tailors ผ่านทาง Retailers

เนื่องจากการเลือกซื้อสินเค้าในสไตล์นี้ มีรายละเอียดค่อนข้างมาก มีตัวเลือกมากมาย ทำให้ก่อให้เกิดการพูดคุยสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิด ความต้องการ กับทางทีมงาน ไปจนถึงเจ้าของร้าน จนก่อให้เกิดเป็นความคุ้นเคยกันเหมือนเพื่อนมากกว่าแค่ คนซื้อ และคนขาย

มากไปกว่านั้น ยังมีการจัด Trunk Show ของเหล่า Artisans และ Tailors ตลอดทั้งปี ทำให้เราได้มีโอกาสได้เจอกับ เจ้าของสินเค้านั้นๆ เช่น ทางร้าน The Decorum จะมีการจัด Trunk Show กับทาง ASSISI ทุกๆ quarter หรือล่าสุดเพิ่งมีการจัด Trunk Show กับทางกางเกงยีนส์ Resolute ไปเป็นต้น หรืออย่างทางร้าน The Refinement มีการจัด Trunk Show กับทาง Ring Jacket และที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ คือ Trunk Show กับทาง B&Tailor ส่วนทางร้าน The Somchai จะมีการจัด Trunk Show กับทาง Liverano & Liverano / Ozario Luciano / Ambrosi Napoli ตลอดทั้งปี

ที่สำคัญคือ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในวงการนี้ มีความ friendly พร้อมที่จะให้ความรู้ คำแนะนำ ให้กำลังใจมาโดยตลอด อบอุ่นมากๆ

ทุกครั้งที่ผมสงสัย มีคำถามที่อยากได้คำตอบ พอทักไปถามคนในวงการนี้ ผ่าน social media ต่างๆ จะได้รับคำตอบทุกครั้ง และทุกคนพร้อมที่จะให้ข้อมูลมากกว่าที่เราถามเสมอ และเมื่อเราโพสอะไรลงไป หรือการทำเว็บไซต์นี้ ผมก็จะได้รับกำลังใจจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มาโดยตลอด ถือว่าเป็น community ที่พร้อมที่จะต้อนรับสมาชิก หรือผู้สนใจหน้าใหม่เสมอ

เราได้สินค้าที่มีความคุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายไปจริงๆ (Value Proposition)

เนื่องจากเหล่า artisan หรือ tailor ในวงการนี้ ไม่ได้ลงทุนไปกับ Celebrity หรือดารา A-list เพื่อให้มาเป็น Presenter หรือ Brand Ambassador เหมือนกับที่แบรนด์ Fast Fashion หรือ Luxury Brand ต่างๆที่ลงทุนไปกับ งบ Marketing มหาศาล

เพราะฉะนั้น ราคาที่เราจ่ายไปนั้น ก็ไปลงกลับคุณภาพ ของวัสดุ และคุณภาพของงานฝีมือ และความใส่ใจในรายละเอียด กับราคาที่สมเหตุสมผลจริงๆ และอีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือ ความคงทนอันเกิดจากการใช้วัสดุที่ดี และคุณภาพที่ดีในการผลิต ทำให้เราสามารถใช้งานสิ่งของเหล่านี้ (ด้วยการดูแลรักษา ที่ถูกต้อง) ได้นานนับ 10-20 ปี

บทสรุป

และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมด ที่ผ่านกระบวนการคิด ทบทวน จากประสบการณ์ของผมในระยะเวลา 2-3 ปี ที่ผมเริ่มสนใจแต่งตัวในสไตล์นี้อย่างจริงจัง

แล้วเพื่อนๆ มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ ผมอยากฟังความเห็นจากทุกคน ว่ามีเหตุผลอื่นๆ กันอีกมั๊ย เพื่อนๆ สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ ในช่อง comment ด้านล่างนี้นะครับ

สุดท้ายนี้ หากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด หรือขอบกพร่องใดๆ ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผม และมาให้กำลังใจกันโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist กันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!

ขอบคุณรูปภาพสวยๆ จาก The Decorum, The Somchai, The Refinement, The Primary Haus, Filson Co., Borrom, Jin Tonic, The Manners, MDs’ Style Guide Sharing Group

มารู้จักที่มาของนาฬิการหัส W10 กันครับ ว่าทำไมผมถึงหลงรักนาฬิกาทหารจากฝั่งอังกฤษเรือนนี้ ตอนที่ 1

เป็นที่ทราบกันดีว่า หนึ่งในรูปแบบของนาฬิกาที่ถูกเอามาเป็นต้นแบบในการออกแบบนาฬิกาซ้ำแล้วซ้ำอีก และยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็คือ “นาฬิกาที่ใช้ทางการทหาร” (Military Watch or Field Watch) ซึ่งต่อไปผมขอเรียกสั้นๆ ว่า “นาฬิกาทหาร” นะครับ

เนื่องด้วยต้นกำเนิดของนาฬิกาทหาร ที่ถูกออกแบบด้วยพื้นฐานหลัก คือ

  1. ต้องอ่านเวลาได้อย่างชัดเจน และรวดเร็ว (Legible)
  2. ต้องมีกลไกที่เที่ยงตรง และตัวเรือนที่ทนทาน (Dependable)
  3. ต้องสวมใส่ได้อย่างสบาย และคล่องตัว (Comfortable)
WWW Watch หรือที่เรียกชื่อเล่นกันว่า “Dirty Dozen” เรือนนี้ผลิตโดย Grana (Source: www.hodinkee.com)

จะเห็นได้ว่า ด้วยหลักการออกแบบทั้ง 3 ข้อด้านบนนั้น แทบจะเป็นหลักการพื้นฐานในการออกแบบนาฬิกาทุกเรือนที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ และด้วยการยึดหลักการออกแบบเดังกล่าวจึงไม่ผิดนักที่จะพูดว่า นาฬิกาทหารนั้น เป็นนาฬิกาเพื่อการใช้งานอย่างแท้จริง (Tool Watch) โดยไม่คำนึงถึงความสวยงาม และตัดงานออกแบบที่ไม่มีความจำเป็นออกไป (Form Follow Function หรือจะเรียกว่า Form is Function ก็ยังได้)

ประวัติของนาฬิกาทหารจากฝั่งอังกฤษ

เนื่องจากนาฬิการหัส W10 นั้น มีต้นกำเนิดมาจากทางกองทัพประเทศอังกฤษ ดังนั้นในบทความนี้ผมจึงขอเล่าที่มาของนาฬิกาทางการทหารที่ใช้ในกองทัพอังกฤษเท่านั้น ว่ามีจุดเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และได้มีวิวัฒนาการต่อมาอย่างไร จนมาถึงนาฬิกา W10 ซึ่งพอเราได้ทราบถึงที่มา และเรื่องราวต่างๆแล้วจะทำให้เรายิ่งเข้าใจมากขึ้น เพราะทุกอย่างมันเกิดมาจากความจำเป็น และความเป็นความตายของชีวิตทหารในสนามรบจริงๆ

ขอแจ้งให้ทราบนะครับว่า ในประวัติศาสตร์ของนาฬิกาทหารนั้น ยังมีเรื่องราวของทางฝั่งประเทศอื่นๆ อีก เช่น กองทัพฝรั่งเศส กองทัพเยอรมัน กองทัพสหรัฐอเมริกา และกองทัพปลดปล่อยประชาชนของประเทศจีน ซึ่งจริงๆ แล้วในแต่ละประเทศก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจไม่แพ้กัน หากมีโอกาสผมจะเขียนถึงในอนาคตนะครับ

สงคราวโลกครั้งที่ 1 (คศ 1914-1918 หรือ พศ 2457-2461)

ระยะเวลา 4 ปี ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 และในปี 2457 ประเทศไทยได้เปิดบริการ ท่าอากาศยานดอนเมือง และโรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นครั้งแรก

ก่อนหน้าสงครามจะเริ่มต้น คุณผู้ชายส่วนใหญ่ใช้นาฬิกาพก (Pocket Watch) เป็นหลัก ส่วนนาฬิกาข้อมือก็มีแล้วนะครับ แต่มีไว้สำหรับสุภาพสตรี และถือว่าเป็นเครื่องประดับ ของสวยงามของเหล่าชนชั้นสูง

The British Army in the United Kingdom 1939-45 (Source: www.iwm.org.uk)

เมื่อสงครามเริ่มต้น เหล่าทหารเริ่มเห็นความไม่สะดวกในการใช้นาฬิกาพกในสนามรบ เพราะกว่าจะหยิบนาฬิกาออกมาจากกระเป๋า เปิดฝาครอบเพื่ออ่านเวลา แล้วยังจะต้องปิด และเก็บกลับเข้ากระเป๋าอีก

ในช่วงเวลาความเป็นความตาย กับการวิ่งในสนามรบขึ้น ลง ในหลุมหรือร่องดิน (Trench) เพื่อหลบกระสุน และระเบิดจากข้าศึก จึงเริ่มมีการนำเอานาฬิกา pocket watch มาดัดแปลงโดยการเพิ่มลวด เพื่อให้สามารถนำสายมารัดไว้ที่ข้อมือ ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของนาฬิกาแบบใหม่ที่เรียกว่า “Trench Watch” เป็นครั้งแรก

ตัวอย่างนาฬิกา trench watch รุ่นแรกๆ ปี 1914 ที่ดัดแปลงมาจากนาฬิกาพก จะเห็นว่าหน้าปัดยังเป็น enamel และยังไม่มีสารเรืองแสง (Source: www.anordain.com)

นาฬิกา Trench Watch ถือว่าเป็นรอยต่อระหว่าง Pocket Watch และ Wristwatch ซึ่งในเวลานั้นทหารยังต้องหาซื้อนาฬิกาเหล่านี้กันเอง ทางกองทัพและรัฐบาลยังไม่ได้มีการจัดหาให้แต่อย่างใด

ต่อมาเริ่มมีการใช้สารเรืองแสง แต้มลงบนหลักชั่วโมง และเข็มนาฬิกา (คือ Radium ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสี) และใช้การบอกค่าแบบ 24 ชั่วโมง ตามรูปแบบการบอกเวลาทางการทหาร ส่วนตัวเรือนถูกออกแบบให้ป้องกันน้ำ และฝุ่น และยังมีการเสริมวัสดุป้องกันกระจกหน้าปัดแตกอีกด้วย

หลังจากที่มีการพัฒนาการออกแบบรูปแบบหน้าปัดนาฬิกาแบบต่างๆ จึงเริ่มเป็นที่ยอมรับกันว่า การใช้รูปแบบหน้าปัดที่ใช้ตัวเลข และเข็มเป็นสีขาว บนพื้นหลังสีดำนั้น เป็นการออกแบบที่ทำให้อ่านค่าชัดเจน และรวดเร็ว มากกว่าตัวเลขและเข็มสีดำบนพื้นหลังสีขาว จนกลายมาเป็นมาตราฐานของนาฬิกาทหารต่อมาจนถึงปัจจุบัน

รูปแสดงเปรียบเทียบให้เห็น รูปซ้ายเป็น trench watch จากปี 1914 และรูปขวาเป็นของปี 1918 จะถึงความแตกต่างของรูปแบบ และจะเห็นได้ว่า การใช้ตัวเลข และเข็มสีขาว บนพื้นหลังสีดำ จะทำให้อ่านค่าได้ชัดเจนและรวดเร็วกว่า (Source: www.anordain.com)

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง เหล่าทหารผ่านศึกต่างเดินทางกับภูมิลำเนา พร้อมกับนาฬิกา trench watch ของพวกเขา ดังนั้นภาพลักษณ์ของนาฬิกาข้อมือที่เคยวางไว้สำหรับสุภาพสตรีเท่านั้นจึงหมดไป แต่กลับเป็นที่ยอมรับว่านาฬิกาข้อมือนั้น สามารถใส่ได้ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง พร้อมกับการเสื่อมความนิยมของนาฬิกา pocket watch ตั้งแต่ช่วงเวลานั้น

สงครามโลกครั้งที่ 2 (คศ 1939-1945 หรือ พศ 2482-2488)

ระยะเวลา 6 ปี ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8 และในปี 2482 สยามประเทศ เปลี่ยนชื่อเป็น ประเทศไทย และประเทศไทยยังแสดงความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

21 ปี หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 1 นาฬิกาข้อมือเป็นที่นิยมสำหรับผู้ชายโดยทั่วไป อย่างไรก็ดี ทางกองทัพอังกฤษยังมีการใช้นาฬิกา pocket watch ในกองทัพอยู่บ้าง (สำหรับนายทหาร เจ้าหน้าที่ระดับสูง) โดยใช้รหัส GSTP – General Service Time Piece สลักไว้ที่ด้านหลังตัวเรือน

ในระหว่างสงคราม เริ่มมีการใช้นาฬิกาข้อมือให้สำหรับกองทัพบกอังกฤษ ที่มีชื่อเรียกว่า ATP – Army Time Piece หรือ Army Trade Pattern ซึ่งนาฬิกา ATP ถึงแม้ว่าจะเริ่มใส่สเปคฯ พิเศษ เช่น การมองเห็นในเวลากลางคืน แต่โดยพื้นฐานหลัก ยังใกล้เคียงกับนาฬิกาสำหรับพลเรือน โดยที่ตัวเรือนส่วนใหญ่ผลิตจากทองเหลืองชุบโครเมียม (Chrome Plated Brass) และยังมีส่วนน้อยที่ตัวเรือนเป็นสแตนเลสสตีล ส่วนกลไกจะเป็นไขลาน ผลิตจากสวิส แต่จำนวนที่ผลิตให้กับกองทัพอังกฤษนั้น เทียบไม่ได้กับที่ทางสวิสผลิตให้กับทางฝ่ายอักษะ (กองทัพ เยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น)

ส่วนนาฬิกาสำหรับกองทัพอากาศอังกฤษ (หลายๆ คนน่าจะคุ้นกับตัวย่อ RAF – Royal Air Force) จะมีมาตราฐาน และสเปคที่สูงกว่านาฬิกาสำหรับกองทัพบกเป็นอย่างมาก เนื่องจากนักบินนั้นต้องการความเที่ยงตรงที่สูงกว่า เพื่อภารกิจสำคัญ เช่น การทิ้งระเบิด การนำทาง และรวมไปถึงการคำนวณปริมาณเชื้อเพลิง และระยะเวลาที่เหลือในการบิน

นาฬิกาสำหรับกองทัพเรืออังกฤษ (Royal Navy) ที่ใช้เป็นหลักสำหรับภารกิจสำหรับเรือดำน้ำ จะเป็นนาฬิกาจับเวลา (Stopwatch) เพื่อคำนวณระยะห่างของเรือดำน้ำข้าศึก โดยใช้ชื่อรหัสย่อว่า ASDIC – Allied Submarine Detection Investigation Committee แต่บางแหล่งเห็นว่า ตัวย่อ ASD – Anti Submarine Division น่าจะถูกต้องกว่า

นาฬิกา WWW – WristWatch Waterproof ทั้งหมด 12 แบรนด์จากสวิสฯ ที่มีของฉายา Dirty Dozen (Source: www.acollectedman.com)
ตารางแสดงจำนวนที่ผลิตนาฬิกา www ของแต่ละแบรนด์ จาก Konrad Khirim’s Book “British Military Timepieces” (Source: www.acollectedman.com)

จนมาถึงช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงเวลาของ WWW – WristWatch Waterproof ซึ่งนาฬิการหัส WWW นี้ถูกผลิตบนพื้นฐานสเปคจากทาง Britrain’s Ministry of Defence (MoD) และถือว่าเป็นนาฬิกาชุดแรกที่เป็นการจัดซื้อจัดจ้างโดยทางกองทัพอังกฤษ โดยมีบริษัทผลิตจากประเทศสวิสฯ ทั้งหมด 12 แบรนด์ได้เซ็นสัญญาผลิตนาฬิกาให้กับกองทัพอังกฤษ ได้แก่ Buren, Cyma, Eterna, Grana, Jaeger Le-coultre, Lemania, Longines, IWC, Omega, Record, Timor, Vertex จึงเป็นที่มาของอีกชื่อที่ใช้เรียกนาฬิกาแบบนี้ว่า “Dirty Dozen” โดยเริ่มผลิตออกใช้งานในปี 1945 มีการประเมินไว้ว่านาฬิกา WWW ถูกผลิตออกมาทั้งหมดประมาณ 145,000 เรือน (โดยแต่ละแบรนด์ผลิตในจำนวนไม่เท่ากัน บางแบรนด์ผลิตจำนวนสูงหลักหมื่น ในขณะที่บางแบรนด์ผลิตเพียงหลักพันเรือนเท่านั้น)

สเปคจากทางกองทัพฯ สำหรับนาฬิกา Dirty Dozen ระบุไว้ว่าตัวเรือนต้องผลิตจากวัสดุสแตนเลสสตีล ต้องมีคุณสัมบัติในการกันน้ำ กลไกยังคงเป็นไขลานแต่ให้มีมาตราฐาน ความเที่ยงตรง และคุณภาพที่สูงขึ้น และยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก เช่น การใช้ตัวเลขบอกหลักชั่วโมง รูปแบบเข็ม การแต้มสารเรืองแสงสีขาว บนพื้นหลังสีดำ โดยทั้งหมดนี้ได้นำไปสู่การวางรากฐานใหม่ และสร้างรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ (Iconic) ให้กับนาฬิกากองทัพอังกฤษในเวลาต่อมา

Grana คือบริษัทที่ผลิตจำนวนน้อยที่สุด 1,000-1,500 เรือน ถือเป็นตัว rare ที่สุดใน 12 แบรนด์ (Source: www.acollectedman.com)
นาฬิกา WWW จาก IWC พร้อม original box (Source: www.acollectedman.com)

บทสรุป

จะเห็นไว้ว่าหมุดหมายสำคัญ ของเรื่องราวในช่วงนี้คือ ต้นกำเนิดของนาฬิกาข้อมือสำหรับผู้ชายเริ่มเมื่อตอนต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ผมต้องขอจบตอนที่ 1 ณ ช่วงเวลาสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของนาฬิกา WWW ไว้เท่านี้ เพื่อไม่ให้บทความนี้ยาวจนเกินไป แล้วตอนต่อไปเราจะเดินทางต่อไปในช่วงสงครามเย็น ซึ่งนาฬิกา W10 ได้ถึงกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว อย่าลืมมาติดตามกันต่อนะครับ

ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ผมได้ค้นคว้ามาจากหลายๆ บทความจากทางต่างประเทศซึ่งเขียนไว้อย่างดีมาก แล้วจึงมาสรุปมาให้ทุกคนได้อ่านเป็นภาษาไทย เป็นข้อๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้นกันนะครับ ถ้าหากเพื่อนๆ สนใจอยากเข้าไปอ่านเพิ่มเติม สามารถคลิ๊กที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะ ข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่างตรงไหน สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ ผมยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน และหากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผม มาให้กำลังใจกันโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist กันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!

เราใช้เหตุผล หรืออารมณ์ในการเลือกซื้อนาฬิกา?

เพื่อนๆ เคยถามตัวเองบ้างมั๊ยครับว่า “เราใช้อะไรในการตัดสินใจเลือกซื้อนาฬิกามาอยู่ในคอลเล็คชั่น?” “เราใช้กฎเกณฑ์ที่เราตั้งขึ้นมา หรือใช้อารมณ์ ความชอบล้วนๆ?”

ถ้าคำตอบคือ “ใช่” แปลว่า เพื่อนๆ มาถึงจุดที่คนชื่นชอบนาฬิกาทุกคน เคยเป็นครับ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะต้องคอยต่อสู้กับเหตุผล และอารมณ์ของเรา และในโพสนี้ ผมจะขอพูดถึงว่า เราจะปรับแนวคิดของเราให้อยู่กับหลักการทั้ง 2 อย่างนี้ได้อย่างไร

กฎเกณฑ์ และเหตุผล

(Source: www.marketing91.com)

เนื่องจากสมองของมนุษย์มีทั้งด้านที่เน้นตรรกะ และเหตุผล กับอีกด้านที่เน้นเรื่องของสุนทรียะ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่สมองของเราจะพยายามสร้างกฎเกณฑ์ และเหตุผลต่างๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ยกตัวอย่างเช่น บางคนอาจจะตั้งกฎของตัวเองขึ้นมาว่า เราจะเลือกเก็บเฉพาะนาฬิกาที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์เท่านั้น (Iconic Watch) หรือ บางคนอาจจะมองหาเฉพาะนาฬิกาที่มีฟังก์ชั่น complication เท่านั้น หรือในทางตรงกันข้าม บางคนอาจจะเลือกเก็บเฉพาะนาฬิกาที่มีฟังก์ชั่นบอกเวลาอย่างเดียว เป็นต้น

Courtesy of Christie’s

ซึ่งผมเอง ก็มองเห็นประโยชน์ของการใช้เหตุผลประกอบในการตัดสินใจ เป็นข้อๆ ตามนี้ครับ

เป็นการสร้างความคิดที่มีแบบแผน

ถ้าเราไม่ตีกรอบความคิด หรือความอยากได้ของเรา เราคงอยากจะได้นาฬิกาเรือนนั้น เรือนนี้เต็มไปหมด ซึ่งถ้าเรามีงบประมาณไม่จำกัด ก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่ในความเป็นจริงมันคงไม่ใช่แบบนั้น และเมื่อเรามีการตีกรอบความคิด และกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน นั่นแปลว่าเราสามารถกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้นว่าเราต้องการเก็บนาฬิกา เรือนไหนบ้าง จำนวนเท่าไหร่ จะใช้เวลานานแค่ไหน และใช้เงินประมาณเท่าไหร่ ถูกมั๊ยครับ

เป็นการสร้างคุณค่าในการสะสม

เป็นที่รู้กันดีว่า การสะสมสิ่งของต่างๆ นั้นต้องใช้เวลา และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ก็จะมีเรื่องราวในเราได้นึกย้อนกลับไป ดังนั้นหากเราตั้งโจทย์ให้กับตัวเอง หรือเราตั้งเป้าหมายที่ท้าทายให้กับตัวเอง จนเมื่อเราทำสำเร็จ มันยิ่งเพิ่มคุณค่า และสร้างความหมายให้กับเรื่องราวนั้นๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก

เป็นการพัฒนาองค์ความรู้ และรสนิยมส่วนตัว

เหมือนที่ผมเคยเขียนไว้ในโพสก่อนหน้านี้ว่า การเลือกสะสมนาฬิกานั้นเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวมากๆ และที่สำคัญมากๆ เลยคือ ความชอบ และรสนิยมส่วนตัวนั้นมันแปลี่ยนไปตามกาลเวลา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรืองแปลกที่กฎเกณฑ์ที่เราตั้งไว้ จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต โดยที่ความเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะเกิดจาก การค้นคว้าหาข้อมูลมากขึ้น ประสบการณ์ในการซื้อ การใช้งานนาฬิกาที่มากขึ้น หรืออายุของเราเองที่มากขึ้น หรืออาจจะมาจากปัจจัยภายนอกเช่น การเปลี่ยนงาน เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ การมีครอบครัว มีลูก ฯลฯ จึงสามารถพูดได้ว่า เมื่อกฎเกณฑ์ที่เราตั้งไว้มีการเปลี่ยนแปลง นั้นแปลว่าเราได้พัฒนาองค์ความรู้ และรสนิยมส่วนตัวของเราด้วยเช่นกัน

อารมณ์และความชอบ

ก่อนหน้าที่ผมจะเขียนบทความนี้ ผมบอกกับตัวเองมาตลอดว่า เราจะต้องสกัดความชอบ และอารมณ์ อย่าให้มาอยู่เหนือเหตุผลในการตัดสินใจเลือกซื้อนาฬิกาซักเรือน จนผมได้เข้าไปดูยูทูปคลิป Watchbox’s collector conversation with Mark Cho ที่คุณ Mark Cho (IG: @markchodotcom หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้าน The Armoury และ Drake’s ซึ่งคุณ Mark ก็เป็นนักสะสมนาฬิกา ที่มีนาฬิกาในคอลเล็คชั่นที่น่าสนใจมากๆ ด้วย) ให้สัมภาษณ์กับ คุณ Tim Mosso (IG: @tim_mosso Director of Media & Watch Specialist ของเว็บไซต์นาฬิกาชื่อดัง Watchbox) ได้อย่างน่าสนใจมากๆ

คุณ Mark ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “เราควรจะต้องมีโอกาสได้ครอบครองนาฬิกาเรือนนั้นๆ ในช่วงระยะเวลานึง มันจึงไม่ผิดที่เราจะตัดสินใจซื้อ ใช้เงินกับสิ่งที่เรายังไม่แน่ใจ เพื่อเราจะได้ใช้เวลา เพื่อให้เข้าใจมันมากขึ้น เพราะว่าการที่เราอ่าน หรือดูรีวิวต่างๆ หรือแม้กระทั่งการที่ได้ไปเห็น ไปจับเรือนจริงๆ ที่ช้อป ก็ยังไม่เพียงพอ เราควรที่จะต้องได้ใช้งานมันจริงๆ ใช้ชีวิตประจำวันของเรา แล้วถึงจะรู้ว่านาฬิกาเรือนนั้น มันเหมาะกับเราจริงๆ หรือไม่ และที่สำคัญ ความชอบนาฬิกามันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ดังนั้นมันควรที่จะต้องเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเราได้จริงๆ”

ผมนั่งฟังบทสัมภาษณ์นี้อยู่หลายรอบ มันสะกิดใจผมมากจนผมถึงกับต้องจดลงในสมุดบันทึกส่วนตัว เพื่อทำความเข้าใจกับมันอยู่พักใหญ่ จนเมื่อผมเข้าใจมันจริงๆ แล้ว เหมือนมีคนมาเปิดประตูอีกบานให้เราเข้าไปอยู่ในแนวคิดใหม่ ที่เรานึกไม่ถึงมาก่อน

(Source: equestasia.au)

จากที่ผมพยายามไม่ให้อารมณ์ และความตื่นเต้นมาอยู่เหนือเหตุผล ผมเริ่มเปิดใจ และเปิดโอกาสให้ตัวเอง ไม่ให้ตัวเรายึดติดกับกฎเกณฑ์ หรือตัวเลข ใน spec sheet มากจนเกินไป เพื่อให้ได้ลองผิด ลองถูก และรู้จักกับนาฬิกาที่เหมาะสมกับเราจริงๆ

บทสรุป

ในท้ายที่สุดแล้ว เราควรจะ enjoy ไปกับงานอดิเรกนี้ อย่าไปเครียดกับมันจนเกินไป สำหรับผมแล้วการได้หาข้อมูล เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และได้รู้จักเพื่อนๆ ที่สนใจนาฬิกาเหมือนกัน นั่นสำคัญกว่าการเลือกซื้อนาฬิกาเสียอีก แล้วการสะสมนาฬิกานั้น จะมีความหมายกับเรามากยิ่งขึ้น และยังเป็นการพัฒนาความรู้ รสนิยม สไตล์ส่วนตัวของเราอีกด้วย

หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะ ข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่างตรงไหน สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ ยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน และฝากสนับสนุน ผลงานของผมโดยการกดติดตาม IG @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ในโพสถัดไปครับ!!

My Watch Journey: Watch Collecting Philosophy or Emotional Impulse?

Have you ever ask yourself about how are you collecting your watches? Does it base on your collecting philosophy or it’s just emotional impulsive?

If the answer is “Yes”, you are not alone and probably in the right place because I’m about to tell you how I am living together with these two schools of thought.

Collecting Philosophy

This is like a logical side of our brain. I think it’s quite a normal function of our brain to try to rationalize the way we think when we are trying to acquire any new watch or build up our collection. Our brain can start to set up some ground rules such as how many type, some might looking ‘only iconic watches’, some are hunting for only ‘watches with complication functions’, in opposite, some are searching for ‘time only’ watches, and the list goes on.

I also found some benefits of having this rational thinking as follow:

(Source: www.marketing91.com)

Strategic Thinking

I think it’s good to have a frame work otherwise our brain will go all over places. And once we have a set of rules that means we have some kind of goal that we are looking for.

Courtesy of Christie’s

Meaningful Watch Journey

As we all know, collecting watches takes time which is part of the fun. Establishing a set of rules for ourselves along the way will help to create stories of how hard or how challenging before you can own watches that you really want. The harder/longer, the more meaningful of that watch journey.

Developing your taste

As I mentioned so many times already, watch collecting is very personal. It depends on the taste of individual and it can change overtime. Therefore, it’s okay that your rules might change in the future. It might be from ourselves that we get older or it might come from other factors such as getting new careers, having a new born child, etc. When your rules changed overtime that means your taste has been developed too.

Emotional Impulse

This is more like a emotional side of our brain. For me, sometime I need a little push to have a courage before I can actually jump. My emotional impulse is that ‘push’. I also totally agree with Mark Cho (IG: @markchodotcom); co-Founder of The Armoury and Drake’s, he’s also a watch collector and his collection is very amazing, when he gave an interview with Tim Mosso (IG: @tim_mosso); Director of Media & Watch Specialist for Watchbox in Watchbox’s collector conversation with Mark Cho.

He was saying that “You have to ‘own something’ for a little bit. It’s okay to spend the money. Buy and do it and get sense for it. Because just reading a review or just seeing it in a shop is not enough. You have to handle it and live with it and see how it fits into you life. Because watches are personal things and it needs to fit into your life.”

I couldn’t agree with him more. After I listened to him a couple of times, I noted it down and then tried to understand it, I changed my way of thinking.

(Source: equestasia.com.au)

From only follow my ground rules and prevent my emotional to interfere, I rather to embrace it and allow some flexibilities and mistakes to happen which is a part of developing my taste as well.

My Final Thought

At the end of the day, collecting watch should be a fun journey. We don’t have to put ourselves too seriously. We should make it meaningful and develop our taste along the way as part of my “Personal Style Journey”.

What do you think? Please feel free to drop your comments below. Any opinion and suggestion are very welcome. It’d be much appreciated if you consider to visit & follow my IG account @mickyjicky and @my.six.point.five.inch.wrist

Thank you & See you on the next one!!

ทำไมผมถึงหันมาชอบใส่นาฬิกาขนาด 36-40มม? และอยากให้เพื่อนๆ หันมาสนใจเหมือนกัน

ถ้าเพื่อนๆ คนไหนที่ติดตาม Instagram ของผม @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist จะเห็นว่าผมเริ่มหันมาสนใจ และกำลังอินกับนาฬิกาที่มีขนาดเล็กเป็นอย่างมาก ดังนั้นในโพสนี้ผมจะขอพูดถึงเรื่องของ “ขนาดของนาฬิกา” กันครับ ว่าทำไมผมถึงหันมาหลงไหล คลั่งไคล้นาฬิกาเรือนเล็ก และทำไมผมอยากให้เพื่อนหันมาสนใจด้วยเหมือนกัน

ผมมีเหตุผล 4 ข้อหลักๆ ให้พิจารณากัน ตามนี้ครับ

ความสบายในการใส่

เมื่อเราพูดถึงความสบายในการสวมใส่ สิ่งที่เรานึกถึงเป็นอย่างแรกก็คือ ขนาดข้อมือของแต่ละคน สำหรับผม ข้อมือผมมีขนาดเส้นรอบรูป 6.5นิ้ว (หรือ 16.5ซม) ซึ่งแต่ก่อนผมก็ชอบใส่นาฬิกาเรือนใหญ่ๆ เหมือนกับที่ทุกๆ คนใส่กัน ตามกระแสในยุคที่นาฬิกา Panerai ดังไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ไม่ว่าจะผู้ชาย หรือผู้หญิงก็ใส่ Panerai ขนาด 44มม กันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ผมขอบอกเลยครับว่าผมใส่แล้วมันไม่มีความสบายเลย ไม่สบายถึงขนาดที่ผมจะต้องถอดนาฬิกาออก เพื่อพักข้อมือผมวันละหลายๆ ครั้ง (ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ คนไหน เป็นเหมือนผมกันบ้างรึป่าว?) แต่ผมก็ทนใส่ต่อไป เพราะว่าตอนนั้นยังอยากตามกระแสแฟชั่น กลัวตกเทรนด์

Rolex Explorer Ref.14270 ขนาด 36มม ความยาว lug-to-lug ที่ 43.6มม หนา 11.5มม

จนเมื่อผมได้มีโอกาสใส่นาฬิกาที่มีขนาดเล็กลงมาที่ขนาด 36-37มม ผมถึงได้เข้าใจว่านาฬิกาที่มันใส่สบายนั้นเป็นอย่างไร ด้วยสาเหตุว่า เมื่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางนาฬิกาเล็กลง ความหนาของตัวเรือนบางลง และน้ำหนักก็เบาลงไปด้วย ดังนั้นผมสามารถใส่นาฬิกาไซส์นี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องถอดออกมาพักอีกต่อไป แถมในบางครั้ง ผมลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าผมใส่นาฬิกาอยู่ (มันสบายได้ขนาดนั้นครับ)

พอเพื่อนๆ อ่านมาถึงจุดนี้ เพื่อนๆ อาจจะคิดว่าถ้าเพื่อนๆ มีขนาดข้อมือที่ใหญ่กว่าข้อมือผม หรือเอาเป็นว่ามีข้อมือตั้งแต่ 7 นิ้วเป็นต้นไป ก็ควรจะใส่แต่นาฬิกาขนาดใหญ่ เพราะคงไม่มีปัญหาเรื่องความไม่สบายในการใส่ใช้งาน คำตอบคือ “ใช่” แต่ก็ “ไม่จำเป็นเสมอไป” ครับ

Rolex Submariner Ref.1680 ขนาด 40มม ความยาว lug-to-lug ที่ 47.7มม หนา 15มม

ที่ตอบว่า “ใช่” ก็เพราะว่า คนที่มีข้อมือใหญ่นั้นสามารถใส่นาฬิกาที่มีตัวเรือนขนาดใหญ่ได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนๆ นั้นไม่สามารถ หรือไม่ควรจะใส่นาฬิกาเรือนเล็กนะครับ เพราะในความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่า “ทุกคนสามารถใส่นาฬิกาเรือนเล็กแล้วดูดีได้ แต่น้อยคนที่จะใส่นาฬิกาเรือนใหญ่แล้วดูดีนะครับ” หรือจะพูดอีกอย่างได้ว่า “นาฬิกาเรือนเล็กไปอยู่บนข้อมือใหญ่ๆ แล้วยังโอเคนะครับ แต่นาฬิกาเรือนใหญ่มาอยู่บนข้อมือเล็กๆ แล้ว ผมว่าไม่โอเคอย่างแรง”

ความดูดี มีสไตล์

Rolex Daytona Ref.6265 “Big Red” ขนาด 37มม ความยาว lug-to-lug ที่ 44.8มม หนา 13มม

เรื่องนี้เป็นเรื่องของความงาม และรสนิยมล้วนๆ เลยนะครับ เพราะผมกำลังจะพูดถึง สัดส่วนที่งดงามของสิ่งที่อยู่บนข้อมือของเราครับ ซึ่งในความคิดของผมนั้น สัดส่วนที่ลงตัวคือขนาดของนาฬิกาจะต้องไม่ใหญ่เกินไปจนไม่เหลือเนื้อที่ของข้อมือผู้ใส่ให้เห็นครับ หรือจะพูดอีกอย่างก็ได้ว่า นาฬิกาควรจะมีขนาดที่เหมาะสมพอที่เราสามารถมองเห็นข้อมือของผู้ส่วมใส่รอบตัวเรือนนาฬิกาได้ด้วย

ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงไม่ต่างอะไรกับการที่เราเลือกเสื้อผ้าที่เราจะใส่ให้ดูดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราคุ้นเคยกับเสื้อผ้าสไตล์ Classic Menswear กันอยู่แล้ว เป็นที่ทราบดีว่าเราควรจะต้องเลือกขนาดของเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับขนาดร่างกายของเรา หลักการง่ายๆ คือไม่ควรหลวมโคร่ง (คือนาฬิกาไม่ควรจะเล็กจนเหลือพื้นที่รอบตัวเยอะเกินไป) และก็ไม่ควรคับแน่นจนเกินไป (คือนาฬิกาไม่ควรจะใหญ่แน่นเต็มข้อ จนไม่เหลือพื้นที่รอบตัว)

และการที่นาฬิกามีขนาดที่เหมาะสมและเหลือพื้นที่บนข้อมือ จะทำให้สายของนาฬิกาไม่ว่าจะเป็นสายหนัง หรือสายสแตนเลสมาเกาะอยู่บนข้อมือ (ยิ่งถ้าเป็นสายนาฬิกาที่มีการ “Taper” หรือการเรียวลง จะยิ่งสวย) เวลามองจากมุมบนลงไป เราจะเห็นมุมมองของนาฬิกาที่สวยที่สุดที่มันควรจะเป็น มากกว่าการที่นาฬิกามีขนาดใหญ่เต็มข้อมือ จนไม่เหลือที่ให้สายมาเกาะทำให้สายนาฬิกาหักลงไปทื่อๆ เวลามองจากด้านบนเราจะมองเห็นแต่หน้าปัดนาฬิกาอย่างเดียว

ตามที่ผมได้เกริ่นไว้ตอนต้น (และนี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ) เมื่อผมเห็นคนที่ตัวใหญ่ หรือข้อมือใหญ่แต่ใส่นาฬิกาเรือนเล็ก ผมมีความชื่นชมในตัวบุคคลนั้นนะครับ ผมรู้สึกว่าคนๆ นั้นมีสไตล์เป็นของตัวเอง และรสนิยมที่น่าสนใจ

มีใครสังเกตมั๊ยครับว่า นาฬิกาด้านซ้ายมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าเรือนด้านขวา (Source: timeandtidewatches.com)

และเมื่อเราพูดถึงเรื่องขนาดของนาฬิกา โดยทั่วไป เพื่อนๆ มักจะคุ้นกับระยะ เส้นผ่าศูนย์กลาง (diameter) ความหนา (thickness) และขนาดหูสาย (lug width) แต่เพื่อนๆ จะไม่คุ้นกับระยะ “Lug-to-Lug” ซึ่งมันคือความยาวรวมของนาฬิกา วัดจากขอบด้านหนึ่ง จนถึงขอบอีกด้านหนึ่ง (วัดในแนว ทิศเหนือ-ใต้) ซึ่งจริงๆ แล้ว ระยะ Lug-to-Lug เป็นระยะความยาวที่บ่งบอกขนาดจริงๆ ของนาฬิกาเรือนนั้นๆ ไม่ใช่ระยะเส้นผ่าศูนย์กลางของตัวเรือน (เหมือนที่คนส่วนใหญ่ใช้อ้างอิงกัน) เพราะว่ามันมีนาฬิกาบางแบรนด์ และบางประเภทที่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตัวเรือนเล็กก็จริง แต่มีขา (lug) ที่ยาวมากเป็นพิเศษ ส่งผลให้เวลาใส่จริงจะคลอบคลุมพื้นที่ข้อมือ ไม่ต่างจากนาฬิกาตัวเรือนใหญ่ เช่น แบรนด์ Nomos และนาฬิกาแนวทหาร พวก Field Watch หรือ Pilot Watch

ราคา

โดยปกติแล้ว นาฬิกาเรือนเล็กราคาจะถูกกว่านาฬิกาที่มีขนาดตัวเรือนใหญ่กว่านะครับ (ถ้าเทียบระหว่าง รุ่น และแบรนด์เดียวกัน) นี่เราพูดถึงทั้งราคาในช้อป หรือบนหน้าเว็บไซต์ (ลองเข้าไปดูในเว็บของ Rolex, IWC, Omega ก็ได้ครับ) และยังรวมไปถึงราคาในตลาดมือสองด้วย โดยเฉพาะพวกนาฬิกาที่ตัวเรือนที่ทำมาจากทอง และที่ประดับอัญมณีทั้งหลายนะครับ นาฬิกาเรือนเล็กลง ก็ใช้วัสดุน้อยลง ราคาก็เลยถูกกว่าครับ

ผมว่าเหตุผลนี้ไม่ต้องอธิบายกันเยอะ และนี่ก็น่าจะถูกใจใครหลายๆ คน ที่พอจะเอาไว้ใช้เป็นข้ออ้างในการซื้อนาฬิกากันได้นะครับ ^_^

ความคลาสสิค อยู่เหนือกาลเวลา

เป็นที่รู้กันดีนะครับว่า นาฬิกาวินเทจส่วนใหญ่แล้วจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 33-36มม (ซึ่งสำหรับผมนี่คือขนาดที่ลงตัวที่สุด) ส่วนนาฬิกาที่มีขนาด 37-38มม จะถือว่าเป็นนาฬิกาที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ แต่ในปัจจุบัน นาฬิกาที่มีขายกันในท้องตลาดจะมีขนาดที่ 40-42มม ถือเป็นไซส์มาตราฐานของคุณผู้ชาย โดยที่บางแบรนด์ก็จัดเอานาฬิกาขนาด 36มม ไปอยู่ในกลุ่มนาฬิกาสำหรับคุณผู้หญิง(ซะงั้น)

ในขณะที่คนส่วนใหญ่ เมื่อจะซื้อนาฬิกาใหม่ซักเรือน ก็จะมองหานาฬิกาที่มีขนาด 40-42มม ซะเป็นส่วนใหญ่ จริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจนะครับ เพราะแทบทุกแบรนด์นั้นก็ขยันออกนาฬิการุ่นใหม่ๆ มาในไซส์นี้ แต่สำหรับผม ผมมองหานาฬิกาที่มีขนาด 36-37มม เป็นลำดับต้นๆ ก็อาจจะเป็นเพราะว่า ผมมีความชื่นชอบนาฬิกาสไตล์วินเทจ และการแต่งตัวสไตล์ classic เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เหตุผลหลักของผมเลย คือ ผมเชื่อว่า นาฬิกาขนาด 36-37มม นั้นเป็นขนาดที่ลงตัว เป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลาที่สุดครับ ซึ่งไม่น่าแปลกใจครับที่ทาง Rolex ถึงยังคงนาฬิกาขนาด 36มม ไว้ใน Collection Date Just และ Oyster Perpetual และจากที่เคยเพิ่มขนาดของ Explorer เป็น 39มม ก็กลับมาลดขนาดคงเดิมที่ 36มม และล่าสุดก็เพิ่งจะเพิ่มขนาด 36มม ไปใน Collection Day Date

Patek Philippe Perpetual Calendar Ref.3940G ขนาด 36มม ความยาว lug-to-lug ที่ 43.3มม หนา 8.8มม (Source: bazamu.com)

ขอสารภาพอีกอย่างครับว่า การที่ผมชอบนาฬิกาขนาดเล็กแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกท้าทายที่จะต้องใช้ความพยายาม และเวลาในการตามหานาฬิกาที่ถูกใจเรามากกว่านาฬิกาที่เห็นอยู่ทั่วๆ ไป

บทสรุป

ก็หวังว่าเหตุผลที่ผมได้อธิบายให้เพื่อนๆ ทุกคนได้อ่านกันจบไปแล้วนั้น จะพอดึงความสนใจให้ทุกคนหันมามอง และคิดที่จะเลือกใส่นาฬิกาเรือนเล็กลงกันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี มันยังมีปัจจัย ปลีกย่อยที่ผมไม่ได้กล่าวถึงอย่าง รูปร่างของตัวเรือน เช่น ตัวเรือนสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวเรือนแบบถังเบียร์ (Tonneau) ฯลฯ ความหนาของตัวเรือน สีของหน้าปัด สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของเราเวลามองว่า นาฬิกาเรือนดังกล่าวมีขนาดใหญ่ หรือเล็กบนข้อมือเรา นะครับ (ผมอาจจะเขียนแยกเป็นอีกโพสต่างหากในอนาคตนะครับ)

และที่ผมเขียนอธิบายมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าผมจะบังคับให้ตัวเองสนใจแต่นาฬิกาขนาด 36-37มม อย่างเดียวนะครับ สำหรับตัวผมแล้ว จากประสบการณ์ที่เคยใส่ใช้งานจริง และได้ลองใส่นาฬิกาที่ผ่านๆ มา ผมสามารถใส่นาฬิกาขนาดใหญ่ที่สุดได้ที่ขนาด 40มม โดยผมคิดว่า นาฬิกาขนาด 38-40มม นั้นเหมาะที่จะเป็นนาฬิกาที่ผมจะใส่สำหรับโอกาสวันหยุด ไปเที่ยว หรือในวันที่ผมทำกิจกรรม outdoor ต่างๆ

และสุดท้ายนี้ ผมว่าตอนนี้เราเริ่มที่จะเห็นกระแสที่นาฬิกาเรือนเล็กจะกลับมาอยู่ในความนิยมอีกครั้ง ซึ่งผมก็หวังว่านาฬิกาแบรนด์ต่างๆ จะเริ่มทยอยออกนาฬิการุ่นยอดนิยม หรือรุ่นใหม่ๆ มาในขนาดที่เล็กลง และในอนาคตอันใกล้ ก็ควรที่จะยกเลิกการแบ่งหมวดหมู่นาฬิกาในแคตตาล็อค ว่าเป็น คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง กันอีกต่อไปได้แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้เราได้เห็นการออกแบบนาฬิกาในรูปแบบใหม่ๆ (ที่ไม่แบ่งเพศ) ในอนาคต

หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะว่าอยากจะให้ผมเขียนเกี่ยวกับหัวข้ออะไร มีข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่างตรงไหน สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ ผมยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน และหากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผมโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist กันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!

Why now I prefer 36-40mm watch size? And so should you!!

For anyone who follows my Instagram @mickyjicky and @my.six.point.five.inch.wrist , you may find out that I’m really into a ‘smaller watch’ recently. Therefore, in this post, I would like to talk about ‘watch size’ that why now I prefer smaller diameter watches and I think you should consider as well.

Here are my 4 main reasons!!

Wearability

When we talk about wearability, it depends on a wrist size of a wearer. My wrist is 6.5 inches (16.5cm) in circumference. In the past, I used to wear a big watch same as others during the glory days of Panerai when every man & woman wearing 44mm watches as a normal size. It was NOT comfortable at all. How uncomfortable? I have to take it off several times during the day because it hurts my wrist. BUT I kept wearing it because I wanted to follow the fashion trend at that time.

Rolex Explorer Ref.14270 36mm in diameter 43.6mm lug-to-lug and thickness 11.5mm. It is a perfect size for me.

Until I got a chance to wear a smaller watch at around 36-37mm in diameter. Then I understand how comfortable it is. Because a smaller watches come with a thinner and lighter case. So I can wear them all the day without taking them off and even sometime I forgot that I’m wearing one.

When you read at this point, you may think if you have a bigger wrist than mine, let says 7 inches and above, you can wear larger watches comfortably. The answer is Yes and No.

Rolex Submariner Ref.1680 40mm in diameter and 47.7mm lug-to-lug thickness 15mm which I put a leather strap on. It rests nicely on my 6.5″ wrist.

Yes, a bigger wrist can wear a bigger watch BUT that doesn’t mean you cannot wear a smaller watch. In my opinion, “anyone can wear small watches but not everyone can pull off a larger watch” or in other words “Small watches are fine on big wrists, but big watches don’t look good on small wrists”.

Tasteful & Elegant

Rolex Daytona Ref.6265 “Big Red” 37mm in diameter and 44.8mm lug-to-lug Thickness 13mm. This is the most comfortable Chronograph watch that I’ve ever worn.

This is a matter of aesthetic taste. We are talking about a proportion between watch case and your wrist area. A proper watch case can sit on your wrist while allow some wrist presence which has a well proportional look.

It goes the same way as our clothing especially when we are talking about ‘Classic Menswear’. We normally go with a proper size to fit our body (not too big and not too tight) which will make an overall look more appropriate. With a smaller watch, it allows strap or bracelet to has more presence and curve beautifully on your wrist (for a taper strap or bracelet even more beautiful) which is more elegant and tasteful than a bigger watch that shows ONLY a watch dial on your wrist.

Like I mentioned above, when I see a person with big wrists wearing a small watch, I have nothing but respect for him. I think that person knows his/her own style and definitely with taste.

Has anyone notice that the left one has a bigger diameter? (Source: timeandtidewatches.com)

At this point, it is important to know a “Lug-to-Lug” or some call “Watch Length” which is a distance from lug tip to lug tip (see pictures above). This is another key dimension that can determine how big and small of that watch rather than its diameter. Some watches have a small diameter BUT have a long lug-to-lug for example Nomos and some military inspired watches.

Price

Normally, smaller watches are less expensive than bigger watch (when comparing in the same brand and model). We are talking about retail price (go to Rolex, IWC, Omega‘s website) and also secondary market price especially luxury watches made with precious metals and precious stones.

So this is another benefit of wearing smaller watches because you can save more money (for another watch, may be ^_^).

Timeless

As we all know, vintage watches are normally in the range of 33-36mm in diameter (they are still look very beautiful until today) and 37-38mm were considered as oversized watches. In modern days, most of the watches are in 40-42mm in diameter and some brands even consider 36mm and smaller watches are for women.

While people around me are picking 40-42mm when they look for their new watch and there are tons of available models & brands in the current market. I’m looking for 36-37mm watches. May be because I love the vintage style watches and may be because I wear classic menswear clothing. But above all, I believe that smaller watches will stand through a test of time. That’s why Rolex still keep the 36mm size in their Date Just, Explorer, Oyster Perpetual, and recently Day Date.

Patek Philippe Perpetual Calendar Ref.3940G 36mm in diameter with 43.3mm lug-to-lug and thickness 8.8mm. This is my Grail Watch (Source: bazamu.com)

I also like the fact that it is more challenging to find the right watch for me and I prefer not to go to the same route as everyone goes.

My Final Thought

I hope that what I explained above can turn your attention toward a smaller watch in some ways. However, there are more other factors that I didn’t mentioned above such as the Shapes of watch i.e. Rectangular, Tonneau, etc., Thickness, and Colors of dial. These also can impact our perception on how big or small of the watch on our wrist as well. (I can write more about this in the future post).

What I wrote above doesn’t mean that I force myself to look ONLY for 36-37mm watches. For me, I feel comfortable to wear 40mm as the biggest size that I can go. I think 38-40mm watches are the suitable size for my secondary watches i.e. my Dive watch, Sporty watch for my active days.

Lastly, as the trend starts to show that smaller watches are coming back, I’m looking forward to see more Brands offer their famous model in smaller size. Also I think in the near future there should be ‘no gender’ in any brand catalogue and we as a customer will have more options of neutral gender watch designs.

What do you think? Please feel free to drop your comments below. Any opinion and suggestion are very welcome. It’d be much appreciated if you consider to visit & follow my IG account @mickyjicky and @my.six.point.five.inch.wrist

Thank you & See you on the next one!!