My Watch Journey: Watch Collecting Philosophy or Emotional Impulse?

Have you ever ask yourself about how are you collecting your watches? Does it base on your collecting philosophy or it’s just emotional impulsive?

If the answer is “Yes”, you are not alone and probably in the right place because I’m about to tell you how I am living together with these two schools of thought.

Collecting Philosophy

This is like a logical side of our brain. I think it’s quite a normal function of our brain to try to rationalize the way we think when we are trying to acquire any new watch or build up our collection. Our brain can start to set up some ground rules such as how many type, some might looking ‘only iconic watches’, some are hunting for only ‘watches with complication functions’, in opposite, some are searching for ‘time only’ watches, and the list goes on.

I also found some benefits of having this rational thinking as follow:

(Source: www.marketing91.com)

Strategic Thinking

I think it’s good to have a frame work otherwise our brain will go all over places. And once we have a set of rules that means we have some kind of goal that we are looking for.

Courtesy of Christie’s

Meaningful Watch Journey

As we all know, collecting watches takes time which is part of the fun. Establishing a set of rules for ourselves along the way will help to create stories of how hard or how challenging before you can own watches that you really want. The harder/longer, the more meaningful of that watch journey.

Developing your taste

As I mentioned so many times already, watch collecting is very personal. It depends on the taste of individual and it can change overtime. Therefore, it’s okay that your rules might change in the future. It might be from ourselves that we get older or it might come from other factors such as getting new careers, having a new born child, etc. When your rules changed overtime that means your taste has been developed too.

Emotional Impulse

This is more like a emotional side of our brain. For me, sometime I need a little push to have a courage before I can actually jump. My emotional impulse is that ‘push’. I also totally agree with Mark Cho (IG: @markchodotcom); co-Founder of The Armoury and Drake’s, he’s also a watch collector and his collection is very amazing, when he gave an interview with Tim Mosso (IG: @tim_mosso); Director of Media & Watch Specialist for Watchbox in Watchbox’s collector conversation with Mark Cho.

He was saying that “You have to ‘own something’ for a little bit. It’s okay to spend the money. Buy and do it and get sense for it. Because just reading a review or just seeing it in a shop is not enough. You have to handle it and live with it and see how it fits into you life. Because watches are personal things and it needs to fit into your life.”

I couldn’t agree with him more. After I listened to him a couple of times, I noted it down and then tried to understand it, I changed my way of thinking.

(Source: equestasia.com.au)

From only follow my ground rules and prevent my emotional to interfere, I rather to embrace it and allow some flexibilities and mistakes to happen which is a part of developing my taste as well.

My Final Thought

At the end of the day, collecting watch should be a fun journey. We don’t have to put ourselves too seriously. We should make it meaningful and develop our taste along the way as part of my “Personal Style Journey”.

What do you think? Please feel free to drop your comments below. Any opinion and suggestion are very welcome. It’d be much appreciated if you consider to visit & follow my IG account @mickyjicky and @my.six.point.five.inch.wrist

Thank you & See you on the next one!!

ทำไมผมถึงหันมาชอบใส่นาฬิกาขนาด 36-40มม? และอยากให้เพื่อนๆ หันมาสนใจเหมือนกัน

ถ้าเพื่อนๆ คนไหนที่ติดตาม Instagram ของผม @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist จะเห็นว่าผมเริ่มหันมาสนใจ และกำลังอินกับนาฬิกาที่มีขนาดเล็กเป็นอย่างมาก ดังนั้นในโพสนี้ผมจะขอพูดถึงเรื่องของ “ขนาดของนาฬิกา” กันครับ ว่าทำไมผมถึงหันมาหลงไหล คลั่งไคล้นาฬิกาเรือนเล็ก และทำไมผมอยากให้เพื่อนหันมาสนใจด้วยเหมือนกัน

ผมมีเหตุผล 4 ข้อหลักๆ ให้พิจารณากัน ตามนี้ครับ

ความสบายในการใส่

เมื่อเราพูดถึงความสบายในการสวมใส่ สิ่งที่เรานึกถึงเป็นอย่างแรกก็คือ ขนาดข้อมือของแต่ละคน สำหรับผม ข้อมือผมมีขนาดเส้นรอบรูป 6.5นิ้ว (หรือ 16.5ซม) ซึ่งแต่ก่อนผมก็ชอบใส่นาฬิกาเรือนใหญ่ๆ เหมือนกับที่ทุกๆ คนใส่กัน ตามกระแสในยุคที่นาฬิกา Panerai ดังไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ไม่ว่าจะผู้ชาย หรือผู้หญิงก็ใส่ Panerai ขนาด 44มม กันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ผมขอบอกเลยครับว่าผมใส่แล้วมันไม่มีความสบายเลย ไม่สบายถึงขนาดที่ผมจะต้องถอดนาฬิกาออก เพื่อพักข้อมือผมวันละหลายๆ ครั้ง (ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ คนไหน เป็นเหมือนผมกันบ้างรึป่าว?) แต่ผมก็ทนใส่ต่อไป เพราะว่าตอนนั้นยังอยากตามกระแสแฟชั่น กลัวตกเทรนด์

Rolex Explorer Ref.14270 ขนาด 36มม ความยาว lug-to-lug ที่ 43.6มม หนา 11.5มม

จนเมื่อผมได้มีโอกาสใส่นาฬิกาที่มีขนาดเล็กลงมาที่ขนาด 36-37มม ผมถึงได้เข้าใจว่านาฬิกาที่มันใส่สบายนั้นเป็นอย่างไร ด้วยสาเหตุว่า เมื่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางนาฬิกาเล็กลง ความหนาของตัวเรือนบางลง และน้ำหนักก็เบาลงไปด้วย ดังนั้นผมสามารถใส่นาฬิกาไซส์นี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องถอดออกมาพักอีกต่อไป แถมในบางครั้ง ผมลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าผมใส่นาฬิกาอยู่ (มันสบายได้ขนาดนั้นครับ)

พอเพื่อนๆ อ่านมาถึงจุดนี้ เพื่อนๆ อาจจะคิดว่าถ้าเพื่อนๆ มีขนาดข้อมือที่ใหญ่กว่าข้อมือผม หรือเอาเป็นว่ามีข้อมือตั้งแต่ 7 นิ้วเป็นต้นไป ก็ควรจะใส่แต่นาฬิกาขนาดใหญ่ เพราะคงไม่มีปัญหาเรื่องความไม่สบายในการใส่ใช้งาน คำตอบคือ “ใช่” แต่ก็ “ไม่จำเป็นเสมอไป” ครับ

Rolex Submariner Ref.1680 ขนาด 40มม ความยาว lug-to-lug ที่ 47.7มม หนา 15มม

ที่ตอบว่า “ใช่” ก็เพราะว่า คนที่มีข้อมือใหญ่นั้นสามารถใส่นาฬิกาที่มีตัวเรือนขนาดใหญ่ได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนๆ นั้นไม่สามารถ หรือไม่ควรจะใส่นาฬิกาเรือนเล็กนะครับ เพราะในความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่า “ทุกคนสามารถใส่นาฬิกาเรือนเล็กแล้วดูดีได้ แต่น้อยคนที่จะใส่นาฬิกาเรือนใหญ่แล้วดูดีนะครับ” หรือจะพูดอีกอย่างได้ว่า “นาฬิกาเรือนเล็กไปอยู่บนข้อมือใหญ่ๆ แล้วยังโอเคนะครับ แต่นาฬิกาเรือนใหญ่มาอยู่บนข้อมือเล็กๆ แล้ว ผมว่าไม่โอเคอย่างแรง”

ความดูดี มีสไตล์

Rolex Daytona Ref.6265 “Big Red” ขนาด 37มม ความยาว lug-to-lug ที่ 44.8มม หนา 13มม

เรื่องนี้เป็นเรื่องของความงาม และรสนิยมล้วนๆ เลยนะครับ เพราะผมกำลังจะพูดถึง สัดส่วนที่งดงามของสิ่งที่อยู่บนข้อมือของเราครับ ซึ่งในความคิดของผมนั้น สัดส่วนที่ลงตัวคือขนาดของนาฬิกาจะต้องไม่ใหญ่เกินไปจนไม่เหลือเนื้อที่ของข้อมือผู้ใส่ให้เห็นครับ หรือจะพูดอีกอย่างก็ได้ว่า นาฬิกาควรจะมีขนาดที่เหมาะสมพอที่เราสามารถมองเห็นข้อมือของผู้ส่วมใส่รอบตัวเรือนนาฬิกาได้ด้วย

ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงไม่ต่างอะไรกับการที่เราเลือกเสื้อผ้าที่เราจะใส่ให้ดูดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราคุ้นเคยกับเสื้อผ้าสไตล์ Classic Menswear กันอยู่แล้ว เป็นที่ทราบดีว่าเราควรจะต้องเลือกขนาดของเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับขนาดร่างกายของเรา หลักการง่ายๆ คือไม่ควรหลวมโคร่ง (คือนาฬิกาไม่ควรจะเล็กจนเหลือพื้นที่รอบตัวเยอะเกินไป) และก็ไม่ควรคับแน่นจนเกินไป (คือนาฬิกาไม่ควรจะใหญ่แน่นเต็มข้อ จนไม่เหลือพื้นที่รอบตัว)

และการที่นาฬิกามีขนาดที่เหมาะสมและเหลือพื้นที่บนข้อมือ จะทำให้สายของนาฬิกาไม่ว่าจะเป็นสายหนัง หรือสายสแตนเลสมาเกาะอยู่บนข้อมือ (ยิ่งถ้าเป็นสายนาฬิกาที่มีการ “Taper” หรือการเรียวลง จะยิ่งสวย) เวลามองจากมุมบนลงไป เราจะเห็นมุมมองของนาฬิกาที่สวยที่สุดที่มันควรจะเป็น มากกว่าการที่นาฬิกามีขนาดใหญ่เต็มข้อมือ จนไม่เหลือที่ให้สายมาเกาะทำให้สายนาฬิกาหักลงไปทื่อๆ เวลามองจากด้านบนเราจะมองเห็นแต่หน้าปัดนาฬิกาอย่างเดียว

ตามที่ผมได้เกริ่นไว้ตอนต้น (และนี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ) เมื่อผมเห็นคนที่ตัวใหญ่ หรือข้อมือใหญ่แต่ใส่นาฬิกาเรือนเล็ก ผมมีความชื่นชมในตัวบุคคลนั้นนะครับ ผมรู้สึกว่าคนๆ นั้นมีสไตล์เป็นของตัวเอง และรสนิยมที่น่าสนใจ

มีใครสังเกตมั๊ยครับว่า นาฬิกาด้านซ้ายมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าเรือนด้านขวา (Source: timeandtidewatches.com)

และเมื่อเราพูดถึงเรื่องขนาดของนาฬิกา โดยทั่วไป เพื่อนๆ มักจะคุ้นกับระยะ เส้นผ่าศูนย์กลาง (diameter) ความหนา (thickness) และขนาดหูสาย (lug width) แต่เพื่อนๆ จะไม่คุ้นกับระยะ “Lug-to-Lug” ซึ่งมันคือความยาวรวมของนาฬิกา วัดจากขอบด้านหนึ่ง จนถึงขอบอีกด้านหนึ่ง (วัดในแนว ทิศเหนือ-ใต้) ซึ่งจริงๆ แล้ว ระยะ Lug-to-Lug เป็นระยะความยาวที่บ่งบอกขนาดจริงๆ ของนาฬิกาเรือนนั้นๆ ไม่ใช่ระยะเส้นผ่าศูนย์กลางของตัวเรือน (เหมือนที่คนส่วนใหญ่ใช้อ้างอิงกัน) เพราะว่ามันมีนาฬิกาบางแบรนด์ และบางประเภทที่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตัวเรือนเล็กก็จริง แต่มีขา (lug) ที่ยาวมากเป็นพิเศษ ส่งผลให้เวลาใส่จริงจะคลอบคลุมพื้นที่ข้อมือ ไม่ต่างจากนาฬิกาตัวเรือนใหญ่ เช่น แบรนด์ Nomos และนาฬิกาแนวทหาร พวก Field Watch หรือ Pilot Watch

ราคา

โดยปกติแล้ว นาฬิกาเรือนเล็กราคาจะถูกกว่านาฬิกาที่มีขนาดตัวเรือนใหญ่กว่านะครับ (ถ้าเทียบระหว่าง รุ่น และแบรนด์เดียวกัน) นี่เราพูดถึงทั้งราคาในช้อป หรือบนหน้าเว็บไซต์ (ลองเข้าไปดูในเว็บของ Rolex, IWC, Omega ก็ได้ครับ) และยังรวมไปถึงราคาในตลาดมือสองด้วย โดยเฉพาะพวกนาฬิกาที่ตัวเรือนที่ทำมาจากทอง และที่ประดับอัญมณีทั้งหลายนะครับ นาฬิกาเรือนเล็กลง ก็ใช้วัสดุน้อยลง ราคาก็เลยถูกกว่าครับ

ผมว่าเหตุผลนี้ไม่ต้องอธิบายกันเยอะ และนี่ก็น่าจะถูกใจใครหลายๆ คน ที่พอจะเอาไว้ใช้เป็นข้ออ้างในการซื้อนาฬิกากันได้นะครับ ^_^

ความคลาสสิค อยู่เหนือกาลเวลา

เป็นที่รู้กันดีนะครับว่า นาฬิกาวินเทจส่วนใหญ่แล้วจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 33-36มม (ซึ่งสำหรับผมนี่คือขนาดที่ลงตัวที่สุด) ส่วนนาฬิกาที่มีขนาด 37-38มม จะถือว่าเป็นนาฬิกาที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ แต่ในปัจจุบัน นาฬิกาที่มีขายกันในท้องตลาดจะมีขนาดที่ 40-42มม ถือเป็นไซส์มาตราฐานของคุณผู้ชาย โดยที่บางแบรนด์ก็จัดเอานาฬิกาขนาด 36มม ไปอยู่ในกลุ่มนาฬิกาสำหรับคุณผู้หญิง(ซะงั้น)

ในขณะที่คนส่วนใหญ่ เมื่อจะซื้อนาฬิกาใหม่ซักเรือน ก็จะมองหานาฬิกาที่มีขนาด 40-42มม ซะเป็นส่วนใหญ่ จริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจนะครับ เพราะแทบทุกแบรนด์นั้นก็ขยันออกนาฬิการุ่นใหม่ๆ มาในไซส์นี้ แต่สำหรับผม ผมมองหานาฬิกาที่มีขนาด 36-37มม เป็นลำดับต้นๆ ก็อาจจะเป็นเพราะว่า ผมมีความชื่นชอบนาฬิกาสไตล์วินเทจ และการแต่งตัวสไตล์ classic เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เหตุผลหลักของผมเลย คือ ผมเชื่อว่า นาฬิกาขนาด 36-37มม นั้นเป็นขนาดที่ลงตัว เป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลาที่สุดครับ ซึ่งไม่น่าแปลกใจครับที่ทาง Rolex ถึงยังคงนาฬิกาขนาด 36มม ไว้ใน Collection Date Just และ Oyster Perpetual และจากที่เคยเพิ่มขนาดของ Explorer เป็น 39มม ก็กลับมาลดขนาดคงเดิมที่ 36มม และล่าสุดก็เพิ่งจะเพิ่มขนาด 36มม ไปใน Collection Day Date

Patek Philippe Perpetual Calendar Ref.3940G ขนาด 36มม ความยาว lug-to-lug ที่ 43.3มม หนา 8.8มม (Source: bazamu.com)

ขอสารภาพอีกอย่างครับว่า การที่ผมชอบนาฬิกาขนาดเล็กแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกท้าทายที่จะต้องใช้ความพยายาม และเวลาในการตามหานาฬิกาที่ถูกใจเรามากกว่านาฬิกาที่เห็นอยู่ทั่วๆ ไป

บทสรุป

ก็หวังว่าเหตุผลที่ผมได้อธิบายให้เพื่อนๆ ทุกคนได้อ่านกันจบไปแล้วนั้น จะพอดึงความสนใจให้ทุกคนหันมามอง และคิดที่จะเลือกใส่นาฬิกาเรือนเล็กลงกันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี มันยังมีปัจจัย ปลีกย่อยที่ผมไม่ได้กล่าวถึงอย่าง รูปร่างของตัวเรือน เช่น ตัวเรือนสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวเรือนแบบถังเบียร์ (Tonneau) ฯลฯ ความหนาของตัวเรือน สีของหน้าปัด สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของเราเวลามองว่า นาฬิกาเรือนดังกล่าวมีขนาดใหญ่ หรือเล็กบนข้อมือเรา นะครับ (ผมอาจจะเขียนแยกเป็นอีกโพสต่างหากในอนาคตนะครับ)

และที่ผมเขียนอธิบายมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าผมจะบังคับให้ตัวเองสนใจแต่นาฬิกาขนาด 36-37มม อย่างเดียวนะครับ สำหรับตัวผมแล้ว จากประสบการณ์ที่เคยใส่ใช้งานจริง และได้ลองใส่นาฬิกาที่ผ่านๆ มา ผมสามารถใส่นาฬิกาขนาดใหญ่ที่สุดได้ที่ขนาด 40มม โดยผมคิดว่า นาฬิกาขนาด 38-40มม นั้นเหมาะที่จะเป็นนาฬิกาที่ผมจะใส่สำหรับโอกาสวันหยุด ไปเที่ยว หรือในวันที่ผมทำกิจกรรม outdoor ต่างๆ

และสุดท้ายนี้ ผมว่าตอนนี้เราเริ่มที่จะเห็นกระแสที่นาฬิกาเรือนเล็กจะกลับมาอยู่ในความนิยมอีกครั้ง ซึ่งผมก็หวังว่านาฬิกาแบรนด์ต่างๆ จะเริ่มทยอยออกนาฬิการุ่นยอดนิยม หรือรุ่นใหม่ๆ มาในขนาดที่เล็กลง และในอนาคตอันใกล้ ก็ควรที่จะยกเลิกการแบ่งหมวดหมู่นาฬิกาในแคตตาล็อค ว่าเป็น คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง กันอีกต่อไปได้แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้เราได้เห็นการออกแบบนาฬิกาในรูปแบบใหม่ๆ (ที่ไม่แบ่งเพศ) ในอนาคต

หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะว่าอยากจะให้ผมเขียนเกี่ยวกับหัวข้ออะไร มีข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่างตรงไหน สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ ผมยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน และหากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผมโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist กันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!

Why now I prefer 36-40mm watch size? And so should you!!

For anyone who follows my Instagram @mickyjicky and @my.six.point.five.inch.wrist , you may find out that I’m really into a ‘smaller watch’ recently. Therefore, in this post, I would like to talk about ‘watch size’ that why now I prefer smaller diameter watches and I think you should consider as well.

Here are my 4 main reasons!!

Wearability

When we talk about wearability, it depends on a wrist size of a wearer. My wrist is 6.5 inches (16.5cm) in circumference. In the past, I used to wear a big watch same as others during the glory days of Panerai when every man & woman wearing 44mm watches as a normal size. It was NOT comfortable at all. How uncomfortable? I have to take it off several times during the day because it hurts my wrist. BUT I kept wearing it because I wanted to follow the fashion trend at that time.

Rolex Explorer Ref.14270 36mm in diameter 43.6mm lug-to-lug and thickness 11.5mm. It is a perfect size for me.

Until I got a chance to wear a smaller watch at around 36-37mm in diameter. Then I understand how comfortable it is. Because a smaller watches come with a thinner and lighter case. So I can wear them all the day without taking them off and even sometime I forgot that I’m wearing one.

When you read at this point, you may think if you have a bigger wrist than mine, let says 7 inches and above, you can wear larger watches comfortably. The answer is Yes and No.

Rolex Submariner Ref.1680 40mm in diameter and 47.7mm lug-to-lug thickness 15mm which I put a leather strap on. It rests nicely on my 6.5″ wrist.

Yes, a bigger wrist can wear a bigger watch BUT that doesn’t mean you cannot wear a smaller watch. In my opinion, “anyone can wear small watches but not everyone can pull off a larger watch” or in other words “Small watches are fine on big wrists, but big watches don’t look good on small wrists”.

Tasteful & Elegant

Rolex Daytona Ref.6265 “Big Red” 37mm in diameter and 44.8mm lug-to-lug Thickness 13mm. This is the most comfortable Chronograph watch that I’ve ever worn.

This is a matter of aesthetic taste. We are talking about a proportion between watch case and your wrist area. A proper watch case can sit on your wrist while allow some wrist presence which has a well proportional look.

It goes the same way as our clothing especially when we are talking about ‘Classic Menswear’. We normally go with a proper size to fit our body (not too big and not too tight) which will make an overall look more appropriate. With a smaller watch, it allows strap or bracelet to has more presence and curve beautifully on your wrist (for a taper strap or bracelet even more beautiful) which is more elegant and tasteful than a bigger watch that shows ONLY a watch dial on your wrist.

Like I mentioned above, when I see a person with big wrists wearing a small watch, I have nothing but respect for him. I think that person knows his/her own style and definitely with taste.

Has anyone notice that the left one has a bigger diameter? (Source: timeandtidewatches.com)

At this point, it is important to know a “Lug-to-Lug” or some call “Watch Length” which is a distance from lug tip to lug tip (see pictures above). This is another key dimension that can determine how big and small of that watch rather than its diameter. Some watches have a small diameter BUT have a long lug-to-lug for example Nomos and some military inspired watches.

Price

Normally, smaller watches are less expensive than bigger watch (when comparing in the same brand and model). We are talking about retail price (go to Rolex, IWC, Omega‘s website) and also secondary market price especially luxury watches made with precious metals and precious stones.

So this is another benefit of wearing smaller watches because you can save more money (for another watch, may be ^_^).

Timeless

As we all know, vintage watches are normally in the range of 33-36mm in diameter (they are still look very beautiful until today) and 37-38mm were considered as oversized watches. In modern days, most of the watches are in 40-42mm in diameter and some brands even consider 36mm and smaller watches are for women.

While people around me are picking 40-42mm when they look for their new watch and there are tons of available models & brands in the current market. I’m looking for 36-37mm watches. May be because I love the vintage style watches and may be because I wear classic menswear clothing. But above all, I believe that smaller watches will stand through a test of time. That’s why Rolex still keep the 36mm size in their Date Just, Explorer, Oyster Perpetual, and recently Day Date.

Patek Philippe Perpetual Calendar Ref.3940G 36mm in diameter with 43.3mm lug-to-lug and thickness 8.8mm. This is my Grail Watch (Source: bazamu.com)

I also like the fact that it is more challenging to find the right watch for me and I prefer not to go to the same route as everyone goes.

My Final Thought

I hope that what I explained above can turn your attention toward a smaller watch in some ways. However, there are more other factors that I didn’t mentioned above such as the Shapes of watch i.e. Rectangular, Tonneau, etc., Thickness, and Colors of dial. These also can impact our perception on how big or small of the watch on our wrist as well. (I can write more about this in the future post).

What I wrote above doesn’t mean that I force myself to look ONLY for 36-37mm watches. For me, I feel comfortable to wear 40mm as the biggest size that I can go. I think 38-40mm watches are the suitable size for my secondary watches i.e. my Dive watch, Sporty watch for my active days.

Lastly, as the trend starts to show that smaller watches are coming back, I’m looking forward to see more Brands offer their famous model in smaller size. Also I think in the near future there should be ‘no gender’ in any brand catalogue and we as a customer will have more options of neutral gender watch designs.

What do you think? Please feel free to drop your comments below. Any opinion and suggestion are very welcome. It’d be much appreciated if you consider to visit & follow my IG account @mickyjicky and @my.six.point.five.inch.wrist

Thank you & See you on the next one!!

เหตุผลประกอบการตัดสินใจ ในการเลือกซื้อรองเท้าสไตล์ Classic Menswear ตอนที่ 2

ต่อเนื่องจากตอนที่แล้วนะครับ ผมขอพูดถึงรองเท้าอีก 4 คู่ ที่เหลือ และบทสรุปจากการใช้งานจริงที่ผ่านมาของผม เพื่อให้เพื่อนๆ ทุกคน ได้ลองนำไปปรับใช้ สำหรับการพิจารณาเลือกซื้อรองเท้ากันนะครับ

Tan Suede Tassel Loafer

Brand: Julietta Bangkok

Last: N/A

Structure: Cemented with Rubber Outsole

Price: THB 2,890.00

Tassel Loafer หนัง Suede สี Tan จากทาง Julietta Bangkok

ตามที่เขียนไว้ในโพสที่แล้วนะครับ หลังจากที่ผมมีรองเท้าสีเบสิค (น้ำตาล และดำ) ไปแล้วทั้งหมด 4 คู่ ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มมองหา รองเท้าที่มีสีอ่อนลง สำหรับใส่ในวันที่แต่งตัว Casual สบายๆ เช่น กางเกงสีเบจ สีเทาอ่อน สีออฟไวท์ เป็นต้น และในตอนนั้น ผมมีความอยากได้รองเท้า Tassel Loafer มากกว่า Penny

Leisure Hand Sewn (LHS) Snuff Suede Penny Loafer by Alden (Source: The Decorum BKK)

ส่วนเรื่องการเลือกสี ช่วงนั้นได้ดูรีวิวจากช่อง Bill Prapat (IG: @prapat.c) ที่รีวิวรองเท้า LHS Snuff Suede ของทางแบรนด์ Alden (ป้ายยา อ่ะไม่ใช่ ^_^ รีวิวไว้ดีมากเลยครับ ผมดูไปหลายรอบ) ทำให้ผมชอบรองเท้าหนังกลับ สี Tan มาก เพราะรู้สึกว่าใส่่กับกางเกงได้หลากหลาย ทั้งสี และประเภทของผ้า ใส่แล้วเท้าดูสะอาด ผิวสว่างขึ้น และที่สำคัญคือทำให้ลุคโดยรวมดู Casual แต่ยังมีความสุภาพ เรียบร้อย

รองเท้าสี Tan จะไปได้ดีกับกางเกงสีอ่อน เช่น สี off white ตามในรูป

แต่เนื่องจากเวลานั้น ผมคิดว่ายังไม่พร้อมที่จะลงทุนกับรองเท้าในราคาระดับ Alden จึงมองหาแบรนด์ทางเลือกอื่นๆ จนไปเจอ รีวิวของคุณจ๊อบ MartinPhu (IG: @martinphu) พูดเกี่ยวกับรองเท้าแบรนด์ Julietta Bangkok ไว้ละเอียดมาก และมีพูดถึง รีวิวของทางช่อง Art_Woek ซึ่งผมก็ตามไปดูอีก จนตัดสินใจเลือกซื้อกับทางแบรนด์ Julietta Bangkok

จะได้ความ Casual แต่ยังคงความสุภาพ เรียบร้อยอยู่

ตอนนั้นผมสั่งซื้อทางออนไลน์ เพราะว่าทาง Online Store ให้ข้อมูลไว้ค่อนข้างละเอียด ทำให้ผมมั่นใจในการสั่งว่า ผมสามารถใส่ได้แน่ๆ พอได้รองเท้ามาก็ไม่ผิดหวังนะครับ ผมได้ใส่รองเท้าคู่นี้บ่อยในวันหยุด หรือวันศุกร์ Casual Friday และผมจะได้คำชมจากคนรอบข้างบ่อยๆ ว่า รองเท้าสวย ซื้อที่ไหน ราคาเท่าไหร่ พอผมตอบกลับไป ทุกคนจะเซอร์ไพส์ว่า หน้าตาดีเกินราคาครับ

Rois Cordoban Tassel Loafer in Calf Leather

Brand: Berwick for Refinement

Made in Spain

Last: 8 Last Developed together between Berwick & The Refinement Bangkok

Structure: Unlined / Goodyear Welted / Leather Sole

Price: THB 7,900.00

Tassel Loafer หนัง Rois Cordovan เป็นหนังวัว จากทาง Berwick for Refinement

ผมว่าเพื่อนๆ หลายคน น่าจะเป็นเหมือนกับผม เมื่อถึงจุดที่เรามีรองเท้าเบสิค ไว้ในตู้รองเท้าเราระดับหนึ่งแล้ว จะต้องนึกถึงรองเท้าหนัง Shell Cordovan (หนังสะโพกม้า) ซึ่งจะมีความแตกต่างกับรองเท้าหนังวัวทั่วไปคือ มีความเงางามที่มากกว่า และการที่หนังจะไม่เป็นรอยริ้วๆ ย่นๆ บริเวณรอยพับต่างๆ แต่หนังจะทำตัวเป็นลอนคลื่นสวยงาม

แต่ก็เพราะความสวยงาม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหนัง Shell Cordovan บวกกับกระบวนการคัดเลือกหนัง การฟอก และการทำย้อมสี ทำให้ราคารองเท้าหนัง Shell Cordovan นั้นสูงกว่ารองเท้าหนังวัว (Calf Skin) ไปค่อนข้างมาก ดังนั้นถ้าจะซื้อผมก็ต้องมั่นใจว่า เราจะต้องใส่ และใช้งานให้มันคุ้มค่า เลยวางแผนไว้ว่าจะต้องไปลองใส่ทุกคู่ที่เล็งเอาไว้

แน่นอนครับ ถ้าคิดจะซื้อรองเท้าหนัง Shell Cordovan ทุกคนต้องนึกถึง Alden (แบรนด์สัญชาติอเมริกา ซึ่งผลิตรองเท้ามายาวนานถึง 139 ปี) ผมได้ไปลองใส่ทั้งตัว Full Strap Penny Loafer และ Tassel Loafer ที่ร้าน The Decorum Bangkok แต่ปรากฎว่า ผมใส่แล้วไม่สบายเท้าเท่าที่ควร จึงตัดสินใจไม่ซื้อกลับมา

จะเห็นว่าสีของหนังจะมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับหนัง Shell Cordovan อยู่พอสมควร

แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งทางเลือก เพราะว่าที่ร้าน The Refinement นั้นมีรองเท้า Berwick for Refinement โดยมีรุ่น Tassel Loafer ที่เป็นหนังสี Rois Cordovan ซึ่งเป็นหนังวัว ที่ผ่านกระบวนการฝอก และย้อมสี ให้มีลักษณะคล้ายกับหนัง Shell Cordovan แถมยังเป็น Unlined Structure อีกด้วย เพื่อนๆ สามารถเข้าไปดูรีวิวรองเท้า Berwick for Refinement ได้จากทั้งทาง ช่อง TaninS และ Signore Closet ทั้ง คุณนิน คุณเป้ และคุณแม็ค ทำรีวิวไว้ละเอียดมากครับ

หลังจากไปลองที่ร้าน The Refinement (กลับมาเจอทั้งคุณโอ และคุณน้ำอีกครั้งที่นี่) แล้วคือจบเลย เพราะจากที่ผมใส่ Berwick คู่ที่เป็น Suede Tassel Loafer ว่าสบายแล้ว ผมลองใส่คู่นี้รู้สึกใส่สบายกว่าอีก น่าจะเพราะคู่นี้เป็นโครงสร้างแบบ Unlined ด้วย (คือการลดทอนโครงสร้างแข็งที่ทำให้รองเท้าอยู่เป็นทรงได้ออกไปบางส่วน โดยที่ไม่ทำให้ทรงรองเท้าโคยรวม เสียความสวยงามไป)

Classic Balmoral Oxford Punched Cap Toe in Museum Calf Leather

Brand: TLB Mallorca Artista Collection

Made in Spain

Last: Picasso Last

Structure: Goodyear-Welted / Leather Sole / Closed Channel

Price: THB 17,500.00

เป็นรองเท้า Oxford ที่เรียบร้อย แต่ยังแฝงลูกเล่น ที่ทำให้แต่งตัวได้สนุกขึ้น

ตอนที่ผมกำลังตัดสินใจซื้อรองเท้าคู่นี้นั้น อยู่ในช่วงการระบาดโควิดลดลงแล้ว และผมกำลังจะได้รับสูท Bespoke จากทางร้าน The Primary Haus ด้วย จึงมีความคิดว่า ผมควรจะมีรองเท้า Oxford เพื่อเอาไว้ใส่กับชุดสูทสำหรับไปร่วมงานที่เป็นทางการ เช่นงานแต่งงาน หรือ การประชุมที่เป็นทางการมากๆ ไว้อย่างน้อย 1 คู่

ในตอนแรก ผมมีความคิดที่จะเลือกเป็น Plain Oxford Cap Toe สีดำ หรือสีน้ำตาล แต่ก็รู้สึกว่ามันเรียบจนเกินไป น่าจะใส่ได้ไม่บ่อย ไม่สนุก สำหรับผม การแต่งตัวเป็นเรื่องที่ผมมีความสุข และสนุกได้ทุกวัน มีหลายคนเคยมาถามว่า แต่งตัวแบบนี้เหนื่อยมั๊ย ผมตอบไปว่า ผมสนุกไปกับการแต่งตัวทุกวัน มันเหมือนเป็นสัญชาตญาณ ที่ผมสามารถวาดภาพในหัวได้เลยว่า วันต่อๆ ไปผมจะใส่เสื้อผ้าอะไรบ้าง

กลับมาที่เรื่องรองเท้า Oxford ในระหว่างที่ผมพยายามหารองเท้า Oxford ที่ไม่เรียบจนเกินไป มีลูกเล่นในการออกแบบ แต่ยังคงมีความเป็นทางการอยู่ด้วย ก็มาเจอกับ รีวิวของคุณเป้ Signore Closet พูดเกี่ยวกับรองเท้า Oxford ในรูปแบบต่างๆ ไว้อย่างน่าสนใจ ให้ความรู้และมีประโยชน์อย่างมากเลยครับ ซึ่งผมก็ไปสะดุดกับรองเท้า Balmoral Oxford ของแบรนด์ TLB Mallorca เข้าอย่างจัง

หุ่นรองเท้า Oxford ของทาง TLB จะมีความคอดของเอวรองเท้าค่อนข้างมาก ทำให้รองเท้ามีความน่าสนใจยิ่งขึ้น

ที่ผมสนใจงานออกแบบรองเท้าคู่นี้ก็เพราะว่า มันมีรูปแบบที่ตรงกับความต้องการของผมทุกประการ คือมีความเป็นทางการตามรูปแบบของรองเท้า Oxford ในขณะเดียวกันก็มีลูกเล่น เช่นงานฉลุ หรือ Brogue ที่บริเวณ เส้นรอยต่อของ Cap Toe และการเย็บรอยต่อของชิ้นหนังที่วนรอบตัวเป็นตัวยู (เป็นลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า Balmoral) แทนที่จะไปจบที่ส่วนของพื้นรองเท้าทั้งสองข้างตามแบบของรองเท้า Oxford ทั่วไป สุดท้ายคือหนัง Museum Calf ที่มีการทำสีน้ำตาลให้มีมิติเหมือนกับหินอ่อน ซึ่งดูน่าสนใจกว่าสีหนังเรียบๆ ทั่วไปมาก

ผมชื้อรองเท้าคู่นี้ที่ร้าน The Refinement และถือว่าเป็นรองเท้า Oxford คู่แรกที่ผมซื้อ (ก่อนหน้านี้มีรองเท้า Derby สีดำของทาง Paul Smith) ได้ไปลองใส่ โดยที่มีคุณโอ (IG: @hoeypresley) เป็นคนดูแล ให้คำปรึกษาเรื่องการเลือกไซส์ การผูกเชือก การดูแลรักษา เป็นอย่างดีเลยครับ และทางร้านยังมีบริการขัดรองเท้าแบบ Mirror Shine ให้ก่อนส่งมอบให้ลูกค้าด้วย รองเท้าจากที่สวยอยู่แล้ว พอได้คุณน้ำ (IG: @therefinement_nam) มาทำ Mirror Shine ให้อีกยิ่งสวยขึ้นอีกเยอะเลย

งาน Mirror Shine ฝีมือคุณน้ำ เพิ่มความสวยงามให้กับรองเท้าขึ้นอีกหลายเท่า

อีกหนึ่งบริการที่ผมว่าดีมากๆ สำหรับลูกค้าที่ซื้อรองเท้ากับทางร้าน The Refinement ทางร้านมีบริการ Basic Shoe Care ให้ตลอดอายุการใช้งานนะครับ เพียงนำรองเท้าที่ซื้อกับทางร้านมาทิ้งไว้ ทางร้าน The Refinement จะประสานกับทางร้าน Resh Shoe Repair Shop ที่อยู่ชั้นใต้ดิน Central Embassy ดำเนินการให้ ส่วนระยะเวลาต้องสอบถามกับทางร้านอีกทีนะครับ

Black Suede Belgian Loafer

Brand: Julietta Bangkok

Last: N/A

Structure: Completely Unlined / Cemented with Rubber Outsole

Price: THB 2,890.00

รองเท้า Belgian Loafer จะโชว์หลังเท้าค่อนข้างมาก แสดงให้เห็นถึงความเป็นทางการที่น้อย

แล้วเราก็มาถึงรองเท้าที่ผมซื้อมาเป็นคู่ล่าสุดกันแล้วนะครับ พอเรามีรองเท้าที่มีความเป็นทางการสูงมาก ลงมาจนถึงระดับกลางไว้หลายคู่ เพื่อใช้ในโอกาสต่างๆ กันและยังสามารถสลับใส่เพื่อยึดอายุการใช้งานของรองเท้าได้อีกด้วย (โดยปกติ ผมจะไม่ใส่รองเท้าคู่เดิม สองวันติดต่อกันนะครับ) ผมก็เริ่มมีความคิดว่าควรจะมีรองเท้าลำลอง ที่เป็นแบบ unlined ทั้งคู่ เพื่อสามารถแพ็คเก็บใส่กระเป๋าเดินทางได้แบบไม่เปลืองเนื้อที่กระเป๋า (ตอนนี้เริ่มจะเดินทางไปต่างประเทศได้แล้ว) โดยที่ยังคงความเป็น loafer อยู่ ซึ่งก็คือรองเท้า Belgian Loafer นั่นเองครับ

รองเท้า Belgian Loafer นั้นมีแบรนด์ให้เราเลือกได้เยอะ หลายระดับราคาเลยนะครับ เช่น Berwick, 42nd Royal Highland (ทางคุณอาร์ม (IG: @armkorakot) Americano Taste ได้เคยทำคลิป Test Drive ไว้น่าสนใจเลยครับ), และแบรนด์ที่น่าจะเป็นที่สุดของ Belgian Loafer ก็คือ Baudoin & Lange และผมก็ได้ไปลอง B&L หลายคู่เลยที่ร้าน The Refinement และบอกได้เลยครับว่า ใส่สบาย ใส่สวย เชื่อได้เลยว่าใครได้ไปลองต้องติดใจทุกคน

แต่ผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ B&L เพราะเหตุผลว่ามันสวย และมันดูน่าถนุถนอม เกินกว่าความตั้งใจที่ผมจะเอารองเท้า Belgian Loafer คู่นี้ไปใช้งานใส่ไปเดินเที่ยวต่างประเทศ หรือต่างจังหวัด จนผมได้มาเจอรีวิวของคุณจ๊อบ (อีกแล้ว ^_^) ที่พูดถึงรองเท้า Belgian Loafer หนังกลับสีดำของ Julietta Bangkok ซึ่งรองเท้าคู่นี้ตอบโจทย์ผมหมดทุกข้อ ทั้งเรื่องรูปทรง หนัง คุณภาพที่เหมาะสมกับราคาที่เข้าถึงง่าย

ในระดับราคานี้ และวัสดุที่ทางแบรนด์เลือกใช้ เราสามารถใส่รองเท้าคู่นี้แบบที่เราไม่ต้องกังวล ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกตินะครับ ว่าบางครั้งเราไม่จำเป็นจะต้องซื้อของที่มีราคาแพง และวัสดุที่ดีที่สุดเสมอไป มันอยู่ที่ว่าเราตั้งใจจะใช้งานในลักษณะไหนมากกว่า และ Julietta เข้ามาตอบสนองความต้องการของผมได้พอดี

บทสรุป

ก็จบไปแล้วนะครับ สำหรับรองเท้าทั้งหมด 8 คู่ที่ผมเลือกซื้อมาใส่เป็นประจำ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมไม่ค่อยมีปัญหากับการใส่รองเท้าทั้ง 8 คู่นี้นะครับ จะมีบทเรียนที่สำคัญก็คือการที่จะ “ต้องลองใส่ ลองเดินให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อ” และ “ถ้าหากรู้สึกว่ามันไม่พอดี อย่าคิดว่าพอใส่ไปแล้วมันจะดีขึ้น” รองเท้าหนังจะยืดออกในแนว ซ้าย-ขวา ได้บ้างนะครับ แต่จะไม่ยืดออกในแนว บน-ล่าง

ผมใส่รองเท้า Black Tassel Loafer ของ Mango Mojito น้อยที่สุด เพราะว่า ผมใส่แล้วเจ็บ ไม่สบายเท้า เนื่องจากวันที่ผมไปรับรองเท้า (ทางร้านจะรับเป็นแบบ Made to Order รอประมาณ 3-4 สัปดาห์) ซึ่งผมลองแล้วรู้สึกว่ามันคับไปที่เท้าขวา แต่เนื่องจากผมอยากจะใส่มาก และไม่อยากรอให้ทางร้านกลับไปแก้ ผมจึงรับรองเท้ากลับมา โดยหวังว่าพอใส่ไป เดี๋ยวมันคงจะดีขึ้น แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ (ขนาดใส่ติดต่อกันประมาณ 3-4 เดือน จนผมถอดใจ) หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะขอให้ทางร้านช่วยแก้ไขก่อนจะรับกลับมา

รองเท้าที่ใส่สบายที่สุด คือรองเท้า Belgian Loafer ของ Julietta Bangkok เพราะด้วยโครงสร้างที่เป็นแบบ completely unlined เวลาใส่รองเท้าคู่นี้จะให้ความรู้สึกเหมือนใส่รองเท้า slipper อยู่บ้านอย่างนั้นเลยครับ ถ้าเป็นวันหยุด หรือวันที่ผมอยากจะพักเท้า ผมจะนึกถึงรองเท้าคู่นี้เป็นลำดับแรก

ส่วนรองเท้าที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก จะจับใส่กับเสื้อผ้าแบบไหนก็น่าจะรอด สำหรับวันที่ไม่มีเวลาเตรียมตัว เรียกว่าเป็น Go-to ของผมเลยก็คือ Berwick Suede Tassel Loafer แถมยังใส่สบายมากๆ อีกด้วย เนื่องจากสีของรองเท้า การที่เป็นหนังกลับ และรูปแบบที่เป็น Tassel Loafer ทำให้รองเท้าคู่นี้แทบจะไปได้กับเสื้อผ้าทุกชุดของผม

ทั้งหมดที่ผมเขียนมาผมหวังว่าเพื่อนๆ พอจะได้แนวคิด เพื่อประกอบในการตัดสินใจเลือกซื้อรองเท้ากันบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ หลักๆ ก็คือเรื่องระดับความเป็นทางการ การเลือกสี และรูปแบบให้เข้ากับความต้องการของแต่ละคนครับ และจากประสบการณ์นี้ทำให้ผมได้อะไรที่มากกว่ารองเท้า เพราะผมได้รู้จักกับเพื่อนๆ ในวงการ Classic Menswear มากขึ้น ไม่ว่าจะจากทางดูรีวิวในช่อง YouTube การติดตาม IG ของแต่ละท่าน และการได้พบปะพูดคุยกันในร้าน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าในวงการนี้ ให้ความเป็นกันเอง และพร้อมเสมอที่จะแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และพร้อมที่จะสนับสนุนให้วงการนี้เติบโตอย่างแข็งแรง นี่คือแรงผลักดันที่สำคัญที่ทำให้ผมตัดสินใจทำเว็บไซต์นี้ขึ้นมานะครับ

สุดท้ายนี้ หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะว่าอยากจะให้ผมเขียนเกี่ยวกับอะไร มีข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่างตรงไหน สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ ผมยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน และหากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผมโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!

เหตุผลประกอบการตัดสินใจ ในการเลือกซื้อรองเท้าสไตล์ Classic Menswear ตอนที่ 1

ผมขอเว้นการลงโพสเกี่ยวกับนาฬิกาก่อนนะครับสำหรับสัปดาห์นี้ อยากจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตัวสไตล์ Classic Menswear บ้าง สำหรับสัปดาห์นี้อยากจะขอพูดถึงไอเท็มที่สำคัญในลำดับต้นๆ สำหรับการแต่งตัวสไตล์ Classic Menswear นั้นก็คือ “รองเท้า” ครับ

โดยที่ผมจะขอเขียนอธิบาย โดยใช้ประสบการณ์ตรงที่ผมทยอยซื้อรองเท้าตลอดในช่วยระยะเวลา 2-3 ปี ที่ผ่านมา ว่าผมใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ และหลักการคิดในการเลือกซื้อรองเท้าแต่ละคู่อย่างไรบ้าง เช่น ลำดับการซ์้อก่อน-หลัง การเลือกสี และการเลือกประเภทของหนัง เป็นต้น เผื่อว่าเพื่อนๆ คนไหนที่กำลังเริ่มสนใจ หรือกำลังตัดสินใจเลือกซื้อรองเท้าสไตล์ Classic Menswear อยู่ จะนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้างนะครับ

ผมจะขอเรียงลำดับตามระยะเวลาที่ผมซื้อรองเท้า ตั้งแต่คู่แรกที่ผมเริ่มหันมาสนใจการแต่งตัวสไตล์นี้ จนถึงคู่ล่าสุดนะครับ มาเริ่มกันเลย!!

Dark Brown Calf Penny Loafer

Brand: Fugashin from The Decorum Bangkok

Last: Fortingall

Structure: Goodyear-Welted, Leather Sole

Price: THB 7,750.00

Dark Brown Calf Penny Loafer by Fugashin Shoes Maker

เหตุผลที่ผมตัดสินใจเลือกรองเท้าคู่นี้เป็นคู่แรก เนื่องมาจากว่าผมต้องการรองเท้าสีน้ำตาล เพราะสีน้ำตาลสามารถเข้ากับเสื้อผ้าได้หลากหลายสี มากกว่าสีดำ (รองเท้าสีดำมีความเป็นทางการสูงกว่า) และผมต้องการรองเท้าสไตล์ Loafer (คือสามารถสวมโดยไม่ต้องผูกเชือก) หากจะเลือก Tassel Loafer (คือรองเท้าที่มีพู่ห้อยอยู่ด้านหน้า) ก็จะดูลำลองเกินไป ก็เลยตัดสินใจเป็น Penny Loafer หนัง Calf (หนังวัวผิวเรียบ)

ผมใส่คู่กับถุงเท้า ribbed socks สีสนุกๆ จากทาง Votta มีจำหน่ายที่ The Decorum เช่นกัน

เพื่อนๆ จะเห็นว่ารองเท้าคู่นี้มีสีน้ำตาลกลางๆ ซึ่งจริงๆ แล้วหากจะเน้นใส่ไปทำงาน ก็ควรที่จะเป็นน้ำตาลที่เข้มกว่านี้ แต่เนื่องจากว่า ออฟฟิศที่ผมทำงาน ไม่ได้ซีเรียสเรื่องการแต่งตัวมากขนาดเดียวกับ สำนักงานกฎหมาย ธนาคาร หรือ หน่วยงานราชการ การที่ผมเลือกสีน้ำตาลกลาง ทำให้ผมสามารถใส่รองเท้าคู่นี้ ในโอกาสอื่นๆ ได้ด้วย

กางเกงผ้า Cotton ผสม Linen ตัวนี้เป็นของ JBB* Menswear นะครับ

เหตุผลที่ผมเลือกแบรนด์ Fugashin ก็เพราะว่า อยู่ในช่วงราคาที่เหมาะสมกับการเริ่มต้นแต่งตัวแนวนี้ บวกกับคุณภาพหนัง และคุณภาพงานผลิตที่ผมมั่นใจได้ว่า รองเท้าคู่นี้จะอยู่กับผมไปได้อีกได้ 5-10 ปี (ด้วยการดูแลที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ) ผมจำได้ว่า ผมรู้จักรองเท้าแบรนด์นี้จากรีวิวของคุณนิน ช่อง TaninS (แต่ในรีวิวเป็นสีดำนะครับ) แถมตอนไปซื้อที่ Decorum ก็ได้เจอกับคุณโอ (IG: @hoeypresley) ซึ่งถือว่าโชคดีและเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะคุณโอ ช่วยแนะนำผมเป็นอย่างดี และทำให้ผมรู้สึกว่า การมาร้าน Classic Menswear ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ตอนนี้คุณโอ มาประจำอยู่ที่ร้าน The Refinement แล้วนะครับ

Dark Brown Suede Tassel Loafer

Brand: Berwick Tassel Loafer 8491 Gum Oiled 173 from Curated and Co

Last: 8 Last

Structure: Goodyear-Welted, Leather Sole

Price: THB 8,800.00

Berwick Tassel Loafer รุ่น 8491 สี Gum Oiled 173 ตอนนี้สามารถหาซื้อได้จากทั้งทาง Curated and Co และ The Refinement ครับ

หลังจากที่ผมมีรองเท้า Penny Loafer คู่แรกไปแล้ว ผมก็เริ่มมองหา Tassel Loafer เพื่อใส่สลับ ในวันที่สามารถแต่งตัวลำลองได้มากขึ้น เช่น ไปออฟฟิศวันศุกร์ หรือสามารถใส่ไปเที่ยว เดินห้าง หรือไปคาเฟ่ ในวันหยุดได้ โดยที่ตัวเลือกก็จะมีเรื่องของ สี และประเภทของหนัง

เนื่องจากผมมีสีน้ำตาลกลางๆไปแล้ว ผมจึงเลือกคู่นี้เป็นสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งผมก็ยังไม่เลือกสีดำ เพราะจริงๆ แล้วรองเท้าสีดำเป็นสีที่มีข้อจำกัดในการใส่มากกว่าสีน้ำตาล (หลายๆ คน อาจจะคิดว่ารองเท้าสีดำ คือสีที่เบสิค ควรจะซื้อก่อน)

รองเท้ายี่ห้อ Berwick เป็นแบรนด์สัญชาติสเปน มีประวัติการทำรองเท้าค่อนข้างยาวนาน

ส่วนประเภทของหนัง เนื่องจากคู่ที่แล้วผมเลือกเป็นหนัง Calf (หนังวัวผิวเรียบ) ไปแล้ว คราวนี้ผมจึงเลือกเป็นหนัง Suede (หนังกลับ) เพื่อให้ได้ลุคที่เป็นลำลองมากกว่า และมีอีก 1 เหตุผลประกอบ คือว่าผมอยากจะลองใช้รองเท้าหนังกลับดูบ้าง (จำได้ว่าคู่สุดท้ายที่มีน่าจะสมัยอยู่ชั้นมัธยม และรู้สึกว่าดูแลรักษายาก) เพราะหลังจากที่เริ่มมาศึกษาเรื่องนี้มากขึ้น ทำให้ทราบว่า จริงๆ แล้วรองเท้าหนังกลับนั้นดูแลรักษาง่ายกว่าหนัง Calf เสียอีก (ใช้แปรงปัดฝุ่น ก่อนและหลังใช้งาน และฉีดสเปรย์กันน้ำ ไม่ต้องลงครีม ไม่ต้องขัด สำหรับการดูแลเบื้องต้น)

กางเกงตัวนี้เป็นผ้า Cotton จากทาง JBB* Menswear อีกเช่นเคย

จำได้ว่าตอนที่ไปซื้อรองเท้าคู่นี้ ผมตัดสินใจเลือก Berwick เพราะอยู่ในราคาที่เหมาะสม และคุณภาพเชื่อถือได้ ผมไปซื้อที่ร้าน Curated & Co ณ ตอนนั้น คุณน้ำ (IG: @therefinement_nam) เป็นคนที่ดูแลให้คำแนะนำในการซื้อเป็นอย่างดีมากๆ จำได้ว่าตอนนั้น ผมต้องอุ้มลูกสาวด้วยตลอดเวลา คุณน้ำให้ความช่วยเหลือ และบริการผมอย่างดีมากๆ ประทับใจมากครับ และตอนนี้คุณน้ำก็มาประจำอยู่ที่ร้าน The Refinement แล้วเช่นกันครับ

Black Calf Penny Loafer

Brand: Fugashin from The Decorum Bangkok

Last: Marton

Structure: Goodyear-Welted, Leather Shole

Price: THB 7,750.00

Penny Loafer คู่นี้จะเป็น Last ใหม่ชื่อ Marton จากทาง Fugashin Shoes Maker

แล้วก็มาถึงคิวรองเท้าสีดำกันบ้าง พอผมมีรองเท้าสีน้ำตาลมาแล้ว 2 คู่ คราวนี้ผมจึงตัดสินใจว่าเราควรจะมีรองเท้าสีดำ สำหรับใส่ในโอกาสที่เป็นทางการมากขึ้น เช่น วันที่มีประชุมที่เป็นทางการ หรือไปพบกับผู้ใหญ่วันที่เป็นทางการ หรือในวันทำงานที่ผมอยากจะแต่งตัวที่เป็นทางการมากเป็นพิเศษ (ส่วนใหญ่จะเป็นต้นสัปดาห์)

แต่ผมก็ยังไม่เลือกรองเท้า Cap-toe Oxford (รองเท้าหนังสีดำผูกเชือก ที่มีความเป็นทางการสูง) อยู่ดี เพราะผมคิดว่าโอกาสที่จะใช้นั้นมีน้อยมากๆ (ณ ตอนนั้น โควิดยังระบาดหนัก งานแต่งงาน หรืองานศพ ยังจัดไม่ได้เลย) ผมจึงเลือกเป็น Penny Loafer ก่อน แล้วคิดว่า Tassel Loafer ค่อยไปซื้อหลังจากคู่นี้

กางเกงตัวนี้เป็นผ้า Wool สี Navy จากทาง JBB* Menswear

ส่วนเหตุผลที่ผมยังคงเลือกเป็นแบรนด์ Fugashin โดยที่ไม่ไปลองซื้อแบรนด์อื่น ก็เพราะว่า

  • ผมจะรู้สึกสบายใจที่จะจ่ายเงินที่ระดับราคาเท่านี้
  • ประสบการณ์จากการใส่ Fugashin คู่แรก รู้สึกประทับใจ ใส่สบาย และคูณภาพหนังยังดูดี แม้จะใช้งานมา 1 ปีแล้วก็ตาม
  • Fugashin ได้มีการอัพเดท Last (ทรงของรองเท้า) ใหม่สำหรับ Penny Loafer โดยนำความเห็นของผู้ใช้งาน มาปรับปรุงใน Last ใหม่นี้ โดยที่ผมตัดสินใจซื้อก็เพราะได้ดูคลิปที่คุณจ๊อบ Martinphu รีวิวรองเท้าคูนี้ไว้ละเอียดดีมากเลยครับ
Fugashin Shoes Maker เป็นแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่น แต่โรงงานผลิตจะอยู่ที่ประเทศเวียดนาม

ส่วนการซื้อรองเท้าคู่นี้ เนื่องจากยังเป็นช่วงโควิดระบาด และผมรู้อยู่แล้วว่าตัวเองใส่ไซส์อะไรอยู่ จึงตัดสินใจซื้อจากทางร้าน The Decorum ผ่านทาง Line application โดยได้ chat กับทางพนักงาน สอบถามเรื่อง Last และเรื่องไซส์ ให้แน่ใจว่าเราใส่ได้แน่ๆ แล้วจึงโอนเงิน online แล้วให้ทางร้านส่งของมาที่บ้าน ถ้าจำไม่ผิด แค่ 1 วัน รองเท้าก็มาส่งที่บ้านใน Package อย่างดี กล่องและรองเท้ามาในสภาพสมบูรณ์ทุกอย่างครับ

Black Tassel Loafer

Brand: Mango Mojito

Last: ML Last

Structure: Goodyear-Welted with Closed Channel

Price: THB 5,880.00

Black Tassel Loafer ML Last จากทาง Mango Mojito

ตามที่เกริ่นไว้ในคู่ก่อนหน้านี้นะครับ พอมี Penny Loafer สีดำแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมตัดสินใจซื้อ Tassel Loafer สีดำบ้าง จะเห็นว่าผมก็ใช้หลักการคิดแบบเดียวกับตอนที่ผมเลือกซื้อรองเท้าซื้อน้ำตาล เพียงแค่ว่า สำหรับผมแล้ว ผมสามารถนำรองเท้าน้ำตาลมาใส่กับเสื้อผ้าที่ผมมี และสามารถใส่ไปในโอกาสต่างๆ ได้หลากหลายกว่า รองเท้าสีดำ

ซึ่งจริงๆ แล้ว เพื่อนๆ อาจจะตัดสินใจเลือกซื้อรองเท้าสีดำก่อนก็ได้ อันนี้มันไม่มีผิดหรือถูกนะครับ อยู่ที่ความสะดวกของแต่ละบุคคลเลยครับ เพราะรองเท้า Penny และ Tassel สีดำ ก็สามารถเอาไปใส่ แต่งตัวได้หลากหลายเช่นกัน

แบรนด์ Mango Mojito เป็นของคนไทย ที่น่าสนับสนุน

ที่ผมตัดสินใจเลือกซื้อแบรนด์ Mango Mojito ก็มาจากการศึกษารีวิว จากแหล่งต่างๆโดยเฉพาะเว็บ MenDetails ได้เขียนโพสรีวิวเกี่ยวกับ Mango Mojito ไว้โดยเฉพาะ และพอได้คุยกับทางร้านทำให้ทราบว่า ทางร้านมี option ให้เราเลือกได้ด้วยว่า จะเลือกพื้นรองเท้าเป็น Closed Channel (คือการทำพื้นรองเท้าที่ซ่อนรอยเย็บไว้ใต้แผ่นหนังอีกที โดยปกติถ้าเป็นแบรนด์อื่นๆ จะทำเฉพาะในรุ่น hi-grade เท่านั้น) หรือ จะเลือกติดพื้นยาง half-sole มาจากโรงงานได้เลย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกด้วย

กางเกงผ้า wool ผสมตัวนี้เป็นของ Zara ผมใส่มาน่าจะเกิน 10 ปีแล้ว ยังสภาพดีอยู่เลย

และด้วยอีกเหตุผลนึง คือผมต้องการสนับสนุนสินค้าที่คิด และผลิตด้วยฝีมือคนไทย ซึ่งแบรนด์ Mango Mojito ก็เป็นแบรนด์รองเท้าคนไทยที่เปิดมานาน น่าเชื่อถือ และยังพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง และมีโรงงานผลิตรองเท้าเป็นของตัวเอง

บทสรุป

ก็จบไปแล้ว 4 คู่แรกนะครับสำหรับโพสนี้ จะเรียกได้ว่า เป็น 4 คู่ที่เป็น Essential item สำหรับการเริ่มต้นแต่งตัวสไตล์ Classic Menswear ของผมก็ว่าได้นะครับ เพื่อความกระชับ ผมจะขอเขียนเกี่ยวกับรองเท้าอีก 4 คู่ที่เหลือ ที่จะเริ่มมีลูกเล่น มีรูปแบบที่สนุกขึ้น มีสีสันมากขึ้น ในโพสถัดไปนะครับ และผมจะเขียนสรุปให้เพื่อนๆ ทราบด้วยว่า จากที่ผมใส่รองเท้าทั้งหมดประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา ผมชอบใส่คู่ไหน? คู่ไหนใส่สบายที่สุด? คู่ไหนใส่น้อยที่สุด? และปัญหาที่ผมได้เจอมา อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ

สุดท้ายนี้ หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะ ข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่างตรงไหน สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ ยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน หากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผมโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky (ตอนนี้สามารถดู Instagram Latest Feed และกดปุ่มติดตามได้จากหน้า Home แล้วนะครับ) ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!

สะสมนาฬิกายังไงให้สนุก? ลองหามุมที่คุณชอบ

จากโพสที่แล้ว ที่ผมได้เล่าเกี่ยวกับคอลเล็คชั่นนาฬิกาปัจจุบันของผมให้ทุกคนทราบกัน และผมได้ทิ้งโน๊ตไว้ว่า จะเล่าถึงนาฬิกาที่ผมวางแผนจะมีไว้ในคอลเล็คชั่นในอนาคต ในโพสถัดไป

แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องนั้น ผมอยากจะแชร์ “วิธีคิด” ที่ผมคิดว่า มีความสำคัญมาก ที่ทำให้การสะสมนาฬิกานั้น สนุกขึ้น และบางทีมันอาจจะทำให้มีคุณค่าทางจิตใจมากขึ้นด้วย เพื่อนๆ ลองพิจารณาดูครับ

สิ่งนั้นคือ การหา “มุมที่คุณชอบ” หรือ “มุมที่ทำให้คุณหลงใหล” ในนาฬิกา

ผมเชื่อว่า พวกเราในช่วงแรกๆ ที่เริ่มสนใจนาฬิกา เกือบจะทุกคนจะมุ่งความสนใจไปที่ นาฬิกายอดฮิตทั้งหลาย เช่น Rolex Submariner, GMT-Master II, Daytona, Omega Speedmaster, Seamaster, Patek Philippe Nautilus, Audemars Piguet Royal Oak

Source: www.gearpatrol.com

ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะนาฬิกาที่พูดถึงนั้นสวยทุกเรือน และอยู่เต็มหน้าฟีด บนโลกโซเชียล และก็เพราะนาฬิกาเหล่านี้นั่นแหละ ที่ทำให้พวกเราสนใจนาฬิกามาตั้งแต่แรก

Patek Philippe’s Nautilus 5711/1A-010 & Audemars Piguet Royal Oak Jumbo. Source: USA.watch pro.com

ตัวผมก็ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนๆ ทุกคน ที่สนใจและอยากจะได้นาฬิกาเหล่านั้นมาเก็บไว้ในคอลเล็คชั่น แต่ก็ต้องเจอปัญหาว่า ทำไมราคามันถึงได้สูงเหลือเกิน แถมราคาก็ยังเพิ่มขึ้นทุกปีอีก และที่สำคัญสุดเลยคือ มันไม่สามารถซื้อกับทางตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Authorized Dealer; AD) ได้ ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีของในสต็อค แล้วจะต้องลงชื่อไว้ใน Interesting List (ขอย้ำว่า ไม่ใช่ Waiting List) ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะถึงคิวเราเมื่อไหร่ แต่ถ้าเป็นเรือนที่คนต้องการมากๆ ยังจะต้องไปซื้อเรือนอื่นๆ (ที่เราไม่ได้อยากได้) มาก่อน เพื่อสะสมยอดซื้อจนถึงระดับที่จะมีสิทธิ์ ลงชื่อใน Waiting List

ด้วยสถานการณ์แบบที่พูดถึงข้างต้น มันเคยถึงกับทำให้ผมเลิกสนใจนาฬิกาไปพักใหญ่ เพราะผมรู้สึกว่า มันไม่ใช่งานอดิเรกที่ทำให้เรามีความสุข หรือสนุกไปกับมันอีกต่อไป

จนมาถึงวันนึงที่ผมหันมาเปิดใจ และกลับมาเริ่มสนใจนาฬิกาอีกครั้ง แต่คราวนี้ (อาจจะเนื่องด้วยอายุที่มากขึ้น และบวกกับการที่เราหันมาสนใจการแต่งตัวแบบ classic menswear ด้วย) ผมได้ศึกษาลงลึกมากขึ้น เกี่ยวกับนาฬิกาประเภทต่างๆ และจากแหล่งข้อมูลต่างๆ มากขึ้นกว่าแต่ก่อน เช่น YouTube ทั้งใน และต่างประเทศ และ Website ที่เกี่ยวข้องกับนาฬิกาของต่างประเทศ (เอาไว้ผมจะเขียนบทความแยกต่างหาก เกี่ยวกับแหล่งข้อมูลนาฬิกาที่ผมเข้าไปติดตามเป็นประจำ)

มันทำให้ผมค้นพบว่ามันยังมีนาฬิกาที่สวย น่าสนใจ มีความซับซ้อน น่าศึกษา อีกเยอะมาก นอกเหนือจากนาฬิกาตามกระแสนิยมหลัก เช่น

Vintage Watches. Source: www.HODINKEE.com
  • นาฬิกาวินเทจ คือ นาฬิกาที่ถูกผลิตในช่วงก่อนปี คศ 1980 (พศ 2523) หรือบางแหล่งข้อมูลใช้หลักเกณฑ์ว่าเป็นนาฬิกาที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปี หรือ 50 ปี เป็นต้นไป
  • Independent Watch Markers คือ นาฬิกาที่ถูกออกแบบ ทั้งรูปแบบ หน้าตา กลไก และถูกผลิตในปริมาณที่น้อย ภายใต้แบรนด์ของตนเอง ไม่ขึ้นตรงกับกลุ่มธุรกิจใหญ่ เช่น Roger W. Smith, Laurent Ferrier, MB&F, Naoya Hida เป็นต้น
  • นาฬิกา Microbrand คือ บริษัทนาฬิกาที่ออกแบบรูปแบบ หน้าตา ในรูปแบบของตนเอง แต่ใช้กลไกสำเร็จพร้อมใช้ เช่น Miyota, Seiko, Sellita, เป็นต้น
Japanese Indepent Watch Maker; Naoya Hida. Source: monochrome-watches.com
นาฬิกา Micro Brand. Source: Horologisto.com

นาฬิกาเหล่านี้ เหมือนเปิดโลกใหม่ให้กับผม ทำให้ผมตื่นเต้น อยากที่จะเรียนรู้และค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม และที่สำคัญคือ ทำให้ผมสนุกกว่าแต่ก่อนเยอะเลย

แล้วจะหา “มุมที่คุณชอบ” หรือ “มุมที่ทำให้คุณหลงใหล” ในนาฬิกา ได้อย่างไร?

มันไม่มีสูตรสำเร็จที่ทุกคนจะสามารถเอาไปใช้ได้นะครับ เพราะการจะหาสิ่งที่คุณชอบ มันเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ และก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยเฉพาะตัวบุคคลด้วย เช่น อายุ การทำงาน ไลฟ์สไตล์ และพื้นฐานความเป็นมาของแต่ละคน จะเห็นได้ว่าปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ก็จะมีส่วนทำให้ความชอบของแต่ละคน เปลี่ยนไปตามกาลเวลาด้วยอีกต่างหาก

ดังนั้นผมจึงขอยกตัวอย่างกรณีของผม เผื่อว่าทุกคนจะสามารถลองเอาไปประยุกต์ใช้กับตัวเองดูนะครับ ผมขอเขียนแยกเป็นหัวข้อตามนี้ครับ

  • อย่างที่ทุกคนพอจะทราบกัน ผมมีความชื่นชอบการแต่งตัวสไตล์ “Classic Menswear” ผมชอบใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว ผูกเนกไท ใส่แจ็กเก็ต ใส่สูท กับรองเท้าหนัง มากกว่าจะใส่ เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ
  • ผมชอบใส่นาฬิกาขนาดกลางๆ คือเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 36-40มม (ซึ่งหลายๆ คนอาจจะมองค่อนไปทางขนาดเล็กด้วยซ้ำ) ผมมีความรู้สึกว่านาฬิกาที่มีขนาดตั้งแต่ 42มม เป็นต้นไปนั้นใหญ่เกินไปสำหรับข้อมือขนาดเส้นรอบวง 6.5 นิ้ว (หรือ 16.5 ซม) ของผม ที่บอกว่าใหญ่เกินไป คือ เวลามองจะรู้สึกว่ามันเต็มข้อมือจนไม่เหลือพื้นที่รอบๆ เรือนนาฬิกา และรู้สึกไม่สบายข้อมือ (บางครั้งถึงกับรู้สึกเจ็บข้อมือด้วย) เมื่อใส่ไปนานๆ ทั้งวัน
  • ผมจบการศึกษามาทางด้านสถาปัตยกรรม มีความชื่นชอบทางด้านงานออกแบบ และศิลปะ
  • ที่สำคัญสุดเลย คือ ผมชอบที่จะใส่นาฬิกาที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลักทั่วไป (ไม่อยากใส่นาฬิกาไปซ้ำกับใครเยอะ)

จากเหตุผลที่ผมเล่ามาข้างต้น คงไม่ต้องแปลกใจที่ผมมี Rolex Submariner ตัววินเทจ และ Reverso Classic อยู่ในคอลเล็คชั่นของผม เท่านี้ก็น่าจะพอเดากันได้ว่า มุมที่ผมชอบก็คือ “นาฬิกาวินเทจ” แต่เนื่องจากผมไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ และความรู้เพียงพอที่จะสามารถแยกแยะนาฬิกาวินเทจว่าเรือนไหนของจริง ของปลอมได้ และผมก็ไม่อยากจะห่วงเรื่องการบำรุงรักษานาฬิกาวินเทจ ดังนั้น นาฬิกาที่ผมชอบก็คือที่เรียกกันว่าเป็น “Vintage (Re-issue) Watch” ซึ่งก็คือการที่แบรนด์นาฬิกาต่างๆ หยิบเอานาฬิการุ่นคลาสสิกที่มีประวัติมายาวนาน เรื่องราวที่น่าสนใจ และได้รับความนิยมสูงในสมัยก่อน เอามันปัดฝุ่น แล้วใส่เทคโนโลยี กลไก ปัจจุบัน และวัสดุที่ทันสมัยเข้าไป เพื่อนำมาจำหน่ายในโอกาสพิเศษต่างๆ หรือในบางแบรนด์ เช่น Longines, Brietling, Grand Seiko ถ้าเพื่อนๆ เข้าไปดูในเว็บไซด์ ก็จะมีนาฬิกาประเภทนี้อยู่ใน “Heritage Collection”

พอจะเริ่มมองหา “มุมที่คุณชอบ” กันได้รึยังครับ?

เพื่อให้มองเห็นภาพมากขึ้น ผมขอยกตัวอย่างเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ครับ

  • เพื่อนๆ อาจจะมองไปที่ “ประเภทของนาฬิกา” ต่างๆ ซึ่งจะเป็นตัววินเทจ หรือจะเป็นรุ่นปัจจุบัน ก็ได้ เช่น

นาฬิกาดำน้ำ (Diver Watch)

Diver Watches. Source: www.HODINKEE.com

นาฬิกาจับเวลา (Chronograph Watch)

นาฬิกาจับเวลา source: www.HODINKEE.com

นาฬิกาสำหรับใช้ทางการทหาร (Military/ Field Watch)

Source: www.HODINKEE.com
  • หรือเราอาจจะเจาะลึกลงไปใน “ประเภทย่อย” ของนาฬิกาประเภทนั้นๆ ในที่นี้จะขอยกตัวอย่าง นาฬิกาจับเวลา ล่ะกันนะครับ เพราะนาฬิกาจับเวลานั้น ยังมีการแยกออกเป็นประเภทย่อยๆ อีก เช่น

นาฬิกาจับเวลาสำหรับนักบิน (Pilot Chronograph) – คือนาฬิกาที่ออกแบบเพื่อใช้สำหรับกองทัพอากาศ

Pilot Chronograph Brequet Type XX. Source:www.HODINKEE.com

นาฬิกาจับเวลาสำหรับนักแข่งรถ (Racing/Driver Chronograph) – คือนาฬิกาจับเวลาในการแข่งในกีฬามอเตอร์สปอร์ต

Heuer Carrera Chronograph 160th Anniversary. Source: www.HODINKEE.com

นาฬิกาจับเวลาสำหรับ Dress Watch – คือนาฬิกาที่ใช้กลไกชั้นสูง (high horology) ซึ่งจะประกอบไปด้วยฟังก์ชั่น ปฏิทินถาวร (Perpetual Calendar) ข้างขึ้นข้างแรม (Moon Phase) การจับเวลา (Chronograph) หรืออาจจะมีฟังก์ชั่นมากกว่านี้

High Complication Patek Philippe. Source: www.HODINKEE.com
  • อีกมุมนึง คือการมองเจาะจงไปที่ช่วงเวลาที่มีผลกับการออกแบบนาฬิกา เช่น ในยุคปีทศวรรษที่ 60 และ 70 นั้น กระแสของศิลปะ และวัฒนธรรม มีผลทำให้งานออกแบบนาฬิกามีความแตกต่างอย่างชัดเจน เช่น

นาฬิกา Patek Philippe ในช่วงยุคทศวรรษที่ 70

A Patek Beta 21. Source: www.HODINKEE.com

นาฬิกา Seiko Chronograph ในช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70

Seiko 6138 vintage chronograph. Source: 60clicks.com

บทสรุป

ผมหวังว่าจากที่ผมเขียนมาทั้งหมดให้ทุกคนข้างต้น จะพอให้ไอเดียกับเพื่อนๆ ในการหา “มุมที่คุณชอบ” หรือ “มุมที่ทำให้คุณหลงใหล” ในการสะสมนาฬิกากันได้ไม่มากก็น้อยนะครับ สุดท้ายนี้ผมของฝากข้อคิดที่ผมก็จำไม่ได้ว่าผมไปฟัง หรือไปอ่านมาจากไหน แต่มันติดอยู่ในหัวผมมาตลอด ก็คือ “เราไม่สามารถครอบครองนาฬิกาทุกเรือนที่ผมชอบได้ แต่เราควรจะรักนาฬิกาทุกเรือนที่อยู่กับเรา”

หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะ ข้อติชม เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยตรงไหน สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ ยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน และฝากสนับสนุน ผลงานของผมโดยการกดติดตาม IG @my.six.point.five.inch.wrist และ @mickyjicky ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!

How to build a Watch Collection? Finding your “Niche”

In my previous post, I already told my stories related to all my the watches in my current collection. I also left a note that I will talk about my ‘Wish List’ watches in the next post.

BUT before I jump into my future watch acquisition plan, I would like to share one of key ideas that, for me, it makes ‘Collecting Watches’ more enjoyable and perhaps more meaningful.

You have to find your “Niche”

I believe, at the beginning stage when we just got bitten by a ‘watch bug’ and entered into the ‘watch world’, most of us are aiming our eyes on those steel sport watches like the Submariner, GMT-Master II, Daytona, Speedmaster, Seamaster, Nautilus, Royal Oak, etc. That’s quite normal because they are beautiful watches that make us interested in watches at the first place and they are everywhere on the Social Media Feeds.

Famous Rolex Sport Watches – photo source www.gearpatrol.com

I was in that position before and I felt quite frustrated and intimidated from the price tag and how hard to get one of those watches. I even stopped thinking about the watches for quite sometime because I think it is not an enjoyable hobby anymore. How can I enjoy my dream watches when I cannot get even one of them?

Patek Philippe’s Nautilus 5711/1A-010 & Audemars Piguet steel on steel Royal Oak Jumbo – photo source USA.watch pro.com

Until one day when I started to open my mind to look at the watches again BUT this time I went even deeper into this rabbit hole. Then I found out that there are many more types of watch beside the Big name Steel Sport watches.

There are Vintage Watches, Independent Watch Makers, Micro Brands, etc. They took me to another side of the ‘Watch World’ where I feel so excited and I feel fascinating when I look at them. They make me want to search more and dig deeper and most importantly, it’s much more fun!!

Micro Brand Watches – photo source Horologisto.com

How to find your niche?

This is a bit tricky. There is no ultimate formula for everyone to use. It relates to individual factors i.e. age, occupation, lifestyle, personal background, etc. As you can see, it’s very personal and it’s very dynamic (that means your niche will change overtime).

Therefore I would like to use my case as an example and I hope that you guys can adapt to yours.

As I mentioned before, I have a passion on ‘Classic Menswear’. I am wearing shirt, trouser, tie, jacket, suit, and leather loafer more than T-shirt, Jean, and sneaker. I prefer ‘Medium Size Watch Case’ approx 36-40mm in diameter. I consider watch size from 42mm and above is too big for my wrist and uncomfortable to wear in a long term (my wrist size is 6.5 inch or 16.51cm in circumference). My educational background is in architecture, art, and design. Ultimately I always gravitate towards watches that not in the main stream.

All the above combined, no wonder why I have “Vintage Rolex Sub” and “Reverso Classic” in my collection. Yes, my Niche is a “Vintage Watch” BUT I am NOT expert enough to be able to authenticate them from the vintage watch sellers and I do NOT want to get hassled on the maintenance issues as well. So my Niche becomes “Vintage (Re-issue) Watch”; when the brands use the classic watch models in their archive and apply new technologies and materials in the modern day to release on their special occasions. Or we can find in “Heritage Collection” in many brands like Longines, Brietling, Grand Seiko, etc.

So…What is your niche?

I hope my case study can give you guys some ideas. And to you some ideas, your niche can be;

  • Specific Category of watch such as:
    • Diver watch
    • Chronograph watch
    • Military/Field watch, etc. It can be current model or vintage model. It depends on your preference.
  • In each category, we can go into specific Sub-category. For example, Chronograph watch, there are:
    • Pilot Chronograph: watches designed for military pilots
    • Racing Chronograph: watches designed for motor sports
    • Grand Complication Chronograph: high horology watches with many complications like perpetual calendar, moon phase, and chronograph functions
  • Specific Period of watch: There are specific design language from 60’s & 70’s period which make watches from that period very unique. For example:
    • 1970’s Patek Phillipe
    • 1960’s & 1970’s Seiko Chronograph

My Final Thought

There is a phase that I read from somewhere (I cannot recall) which very move me. It says “You cannot have all the watches that you love BUT you should love all the watches that you have”. It really sticks into my head and it got me thinking for quite sometime until I’ve found my niche.

Lastly, what do you guys think? Do you have your niche yet? Please feel free to share your thought below. Any opinion and suggestion are very welcome here. Please also consider to support my works by visiting & following my IG accounts @mickyjicky & @my.six.point.five.inch.wrist

Thank you & See you again on the next post!!

คอลเล็คชั่นนาฬิกาของผมในปี พ.ศ.2565

ใกล้จะสิ้นปี 2565 แล้วนะครับ ผมเลยอยากจะใช้โอกาสนี้อัพเดทนาฬิกาที่อยู่ในคอลเล็คชั่นของผมในปีนี้และ นาฬิกาที่ผมวางแผนว่าจะซื้อไว้ในครอบครองในอนาคต พร้อมทั้งเหตุผลว่าทำไมผมถึงอยากได้นาฬิกาเหล่านั้นนะครับ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบที่จะฟังเรื่องราว คอลเล็คชั่นนาฬิกาของบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะในช่องยูทูปต่างประเทศ จะมีทำ State of The Collection หรือ SOTC ไว้เยอะมาก เพราะคอลเล็คชั่นนาฬิกาของแต่ละคนนั้น ส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (ปล่อยของที่มีอยู่ แล้วซื้อเรือนใหม่เข้ามา) ซึ่งทุกๆ คนก็จะมีเรื่องราว เหตุผต่างๆ ในการตัดสินใจ และนั่นคือสิ่งที่ผมสนใจ และรู้สึกสนุกไปกับเรื่องราวเหล่านั้น แถมยังมีเกร็ดความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับนาฬิกา ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน

ผมหวังว่า สิ่งที่ผมเขียนในโพสนี้ จะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยให้กับเพื่อนๆ ที่ชอบและสนใจในนาฬิกา ในแบบเดียวกันครับ

การแบ่งหมวดหมู่ในคอลเล็คชั่นนาฬิกาของผม (เพื่อความเข้าใจในการอ่าน)

เริ่มต้นจาก “คอลเล็คชั่นปัจจุบัน” คือ ผมจะลิสต์นาฬิกาทุกเรือน ที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน พร้อมทั้งระบุ ปีที่ผมได้ซื้อ หรือได้รับมา โดยผมจะแสดงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับนาฬิกาเรือนนั้น และขอเล่าเรื่องราวเบื้องหลังให้เพื่อนๆ ได้รู้ด้วย

หลังจากนั้นจะเป็น “นาฬิกาที่อยากได้” ก็จะเป็น นาฬิกาที่ผมวางแผนว่าอยากจะซื้อในอนาคต พร้อมทั้งความคิดเบื้องหลังในแต่เรือน โดยปกติแล้ว ผมจะตั้งกฎให้กับตัวเอง หรือจะเรียกว่าเป็น “เงื่อนไขส่วนตัว” ก็ได้ เพื่อใช้ในการตีกรอบความคิด ในการสร้างคอลเล็คชั่นนาฬิกาของผมนะครับ

เงื่อนไขส่วนตัวของผม มีอะไรบ้าง? (เผื่อว่าเพื่อนๆ จะเอาไปลองปรับใช้กันได้ ไม่ว่ากันครับ)

ข้อที่ 1 ผมจะมีนาฬิกาได้แค่ยี่ห้อละ 1 เรือนเท่านั้น

ข้อที่ 2 ผมจะมีนาฬิกาได้แค่ 1 เรือน ในแต่ละประเภทเท่านั้น เช่น นาฬิกาดำน้ำ 1 เรือน, นาฬิกาจับเวลา 1 เรือน, นาฬิกา GMT, ฯลฯ

ข้อที่ 3 ผมสามารถมีนาฬิกาประเภทต่างๆ ได้ แต่จะซื้อได้ ต้องมีวาระพิเศษในชีวิต หรือจะต้องประสบความสำเร็จในงานที่ทำเท่านั้น

ข้อที่ 4 ในการซื้อนาฬิกาแต่ละเรือนจะต้องไม่ทำให้มีปัญหาทางด้านการเงิน

ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มกันเลยครับ!!

คอลเล็คชั่นปัจจุบัน

นาฬิกา Rolex Submariner Reference 1680

  • ประเภท: นาฬิกาวินเทจ / มรดกตกทอดในครอบครัว
  • ปีที่เข้ามาอยู่ในคอลเล็คชั่น: พ.ศ.2537 / ค.ศ.1994
  • รายละเอียดนาฬิกา:
    • ปีที่ผลิต: ค.ศ.1967-1980 (โดยประมาณ)
    • วัสดุตัวเรือน และคริสตัล: ตัวเรือนเป็นสแตนเลสสตีล หน้าปัดดำ / อะคริลิคพร้อมเลนส์ขยายหน้าต่างวันที่ และสาย Oyster สแตนเลสสตีล
    • ขอบตัวเรือน: วัสดุสแตนเลสสตีลสีดำ หมุนได้ 2 ทิศทาง พร้อมสเกลจับเวลา 60 นาที
    • ขนาดตัวเรือน: เส้นผ่าศูนย์กลาง 40มม / ความกว้างหูสาย 20มม
    • กลไกนาฬิกา: คาลิเบอร์ 1575 (บนพื้นฐานคาลิเบอร์ 1570) กลไกขึ้นลานอัตโนมัติ
    • การกันน้ำ: ความลึก 200 เมตร / 660 ฟุต
    • เกร็ดความรู้: Ref.1680 เป็นรุ่นแรกที่ทาง Rolex เริ่มใส่ฟังก์ชั่นหน้าต่างแสดงวันที่ให้กับ คอลเล็คชั่น Submariner แสดงให้เห็นถึงความเป็นที่นิยมที่เพิ่มขึ้นของ Submariner เพราะหน้าต่างแสดงวันที่ มิได้เป็นฟังก์ชั่นที่จำเป็นสำหรับนาฬิกาดำน้ำ แต่เป็นความต้องการของกลุ่มลูกค้าทั่วไปมากขึ้น
  • เรื่องราว:

ผมได้รับนาฬิกาเรือนนี้เป็นของขวัญ หรือจะเรียกว่าเป็นรางวัลก็ได้ จากคุณลุงที่ผมเคารพรักมาก ในโอกาสที่ผมสอบเอ็นทรานซ์ติดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เมื่อ 18 ปีที่แล้ว (ในยุคของผมการสอบเอ็นทรานซ์ เป็นเหมือนจุดหลักสำคัญในชีวิตของนักเรียนทุกคน) เรื่องมันเกิดมาจากว่า ผมได้เห็นคุณลุงของผมใส่นาฬิกา Rolex Submariner เป็นครั้งแรก แล้วผมก็รู้สึกว่าทำไมนาฬิกาเรือนนี้มันหล่อ มันเท่ห์มากมายขนาดนี้ จนผมถามข้อมูลต่างๆ มากมาย จนคุณลุงของผมคงรับรู้ถึงความชอบในนาฬิกาเรือนนี้ของผมได้ จนท่านได้เอ่ยปากบอกกับผมว่า “ถ้าสอบเอ็นทรานซ์ติดคณะสถาปัตย์ฯ ได้ ลุงจะซื้อนาฬิกาเรือนนี้ให้”

แล้วผมก็ได้ครอบครอง Submarier มาจนได้ ตอนที่ผมได้รับมาจากคุณลุง นาฬิกาเป็นมือสองมาตัวเปล่า(ไม่มีกล่องใบ) เท่าที่ผมจำได้ ราคาตอนนั้นยังอยู่ในหลักหมื่น ผมใส่นาฬิกาเรือนนี้แทบจะทุกวัน ตลอดช่วงเวลาที่ผมอยู่มหาวิทยาลัย จนจบปริญญาตรี จนไปถึงช่วงเวลาที่ผมไปศึกษาต่อปริญญาโท ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อไปถึงช่วงชีวิตการทำงานช่วงแรกๆ ที่ผมได้มีโอกาสไปต่างประเทศเยอะมาก เช่นเยอรมัน อิตาลี จีน แคนาดา ฯลฯ เจ้า Submariner เรือนนี้ไปกับผมทุกที่ (จะเห็นได้จากสภาพตัวเรือน ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้งานแบบจริงจัง ไม่ได้ถนุถนอมแต่อย่างใด) 

ทุกวันนี้ ถึงผมจะไม่ได้ใส่นาฬิกาเรือนนี้บ่อยเหมือนเมื่อก่อน (ใส่เฉพาะช่วง เสาร์ อาทิตย์ วันหยุดสุดสัปดาห์) แต่ไม่น่าเชื่อว่านาฬิกายังคงเดินปกติ เที่ยงตรงในระดับที่มันควรจะเป็น ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผมยอมรับเลยครับว่า Rolex ผลิตนาฬิกาที่ อด ถึก ทน แต่ก็ยังคงความสวย และความมีเอกลักษณ์ที่เป็น Iconic Watch อย่างที่ทุกคนรู้กัน

นาฬิกา Swatch Quartz Chronograph

  • ประเภท: นาฬิกาใส่เล่น / มรดกตกทอดในครอบครัว
  • ปีที่เข้ามาอยู่ในคอลเล็คชั่น: จำไม่ได้จริงๆ ครับ
  • รายละเอียดนาฬิกา:
    • วัสดุตัวเรือนและสาย: สแตนเลสสตีล 
    • ขนาดตัวเรือน: ความกว้างตัวเรือน 43มม / หนา 12.67มม / ความยาวตัวเรือน 49มม
    • กลไกนาฬิกาควอทซ์
    • การกันน้ำ: 30ม
    • เกร็ดความรู้: เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า เพื่อนๆ สามารถนำนาฬิกา Swatch มาเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ที่ช้อป โดยไม่เสร็จค่าใช้จ่ายใดๆ ตลอดอายุการใช้งาน
  • เรื่องราว:

เท่าที่จำได้ผมเห็นนาฬิกาเรือนนี้ครั้งแรกบนข้อมือคุณพ่อของผมนานมากๆ แล้ว ผมยังจำความรู้สึกได้ว่ามันดูเท่ห์อย่างบอกไม่ถูก ณ ตอนนั้นยังเป็นสายสแตนเลสสตีล แต่ผมก็จำไม่ได้นะครับว่า ผมได้บอกคุณพ่อรึป่าวว่าผมอยากได้นาฬิกาเรือนนี้ แต่ผมกลับมาเจอนาฬิกาเรือนนี้อีกครั้งในลิ้นชักโต๊ะทำงานของผม เมื่อตอนที่ผมกลับไปเก็บของในห้องของผมที่บ้านของคุณพ่อ คุณแม่ เมื่อครั้งที่ท่านขายบ้านหลังนั้น เพื่อย้ายไปอยู่บ้านใหม่กัน

แต่ในครั้งที่ผมเห็นเจ้า Swatch เรือนนี้อีกครั้ง หลังจากที่เริ่มมีความรู้เกี่ยวกับนาฬิกามากขึ้น มันทำให้ผมนึกถึงเจ้า “Speedy” Omega Speedmaster Professional (ณ ตอนนั้นเรายังไม่มี MoonSwatch ให้รู้จักกันนะครับ) ดังนั้นผมเลยตัดสินใจเก็บนาฬิกาเรือนนี้ไว้ เพราะผมนึกอยู่ในใจว่า ผมน่าจะทำอะไรสนุกๆ กับเจ้า Swatch เรือนนี้ได้แน่ๆ แล้วเมื่อต้นปี พ.ศ.2565 นี้เอง ผมได้ไปที่ช้อปของ Swatch เพื่อนำนาฬิกาไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ แล้วก็โชคดีครับที่นาฬิกามันยังเดินได้ปกติ แต่ระบบจับเวลามันทำงานไม่สมบูรณ์ (และอีกไม่นาน เข็มจับเวลาก็ไม่ทำงานแบบถาวร) เมื่อนาฬิกายังเดินได้ ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนสายจากเดิมที่เป็นสแตนเลสสตีล เป็นสายหนังสีน้ำตาล จับคู่กับหน้าปัดสีดำของนาฬิกาได้อย่างดี (น่าเสียดายที่ นาฬิกา Swatch ไม่สามารถใช้สายทั่วไปในท้องตลาดได้นะครับ)

นานๆ ที ผมถึงจะใส่เจ้า Swatch เรือนนี้ แต่ทุกครั้งที่ผมได้ใส่ ผมจะนึกถึงภาพความทรงจำตอนที่ผมยังเป็นเด็ก และนึกถึงเรื่องราวระหว่างคุณพ่อกับผม มันเป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกนะครับ

นาฬิกา Apple Watch Series 7 ขนาด 45มม วัสดุ Stainless Steel สีเงิน

  • ประเภท: สมาร์ทว็อช
  • ปีที่เข้ามาอยู่ในคอลเล็คชั่น: ต้นปี พ.ศ.2565 / ค.ศ.2022
  • รายละเอียดนาฬิกา:
    • วัสดุตัวเรือนและสาย: ตัวเรือนสแตนเลสสตีลขัดเงา และสายสแตนเลสสตีลถัก (Milanese Style Bracelet) 
    • โปรเซสเซอร์: S7 64-bit dual core / W3 Apple wireless chip / U1 Chip (Ultra Widebrand)
    • ขนาดตัวเรือน: สูง 45มม กว้าง 38มม หนา 10.7มม
    • ฟังก์ชั่น:
      • GPS + Cellular with Wi-Fi & Bluetooth connectivity
      • Always on display
      • Blood Oxygen Sensor
      • Electrical Heart Sensor
      • Fall Detection
      • Sleeping Sensor
      • และอื่นๆ อีกมากมาย 
    • การกันน้ำ: 50ม (ใส่ว่ายน้ำ และเล่นกีฬาทางน้ำได้)
    • เกร็ดความรู้: เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า Apple Watch รุ่นแรก มีชื่อเรียกว่า Apple Watch Series 0 (Zero)
  • เรื่องราว:

คนในครอบครัว และเพื่อนๆ ของผมรู้กันเป็นอย่างดีว่า ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ Apple ผมใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ชิ้นแรกคือ iMac G3 (รุ่นที่เป็นจอทีวี แล้วก็มีสีให้เลือก 5 สี น้ำเงิน, แดง, เขียว, เหลือง, และสีม่วง) และแน่นอนครับผมใส่ Apple Watch ตั้งแต่รุ่นแรกที่ออกมา แล้วก็อัพเดทรุ่นใหม่มาเรื่อยๆ

สำหรับการอัพเดทครั้งนี้นั้น ผมเลือกรุ่นที่เป็นตัวเรือนสแตนเลสสตีล ถึงแม้ว่าจะราคาสูงกว่ารุ่นที่เป็นตัวเรือนอลูมิเนียมพอสมควร แต่ฟังก์ชั่นแทบจะไม่ต่างกัน เหตุผลหลักๆ ก็คือความบ้านาฬิกาของผม ที่ผมอยากจะใส่ สมาร์ทว็อชที่มีหน้าตาเหมือนกับนาฬิกากลไกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (ไม่อยากให้เหมือนใส่ Gadget)

โดยปกติแล้ว ผมจะใส่เจ้า Apple Watch เวลาที่ผมออกกำลังกาย เช่น วิ่ง ตีเทนนิส ว่ายน้ำ และผมก็จะใส่เข้านอนแทบจะทุกคืน ต้องยอมรับครับว่า ผมเป็นคนที่ชอบติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ และก็ยังมีความอยากลองฟีเจอร์ใหม่ๆ ตลอดเวลา (โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ของ Apple) ดังนั้นเจ้า Apple Watch ต้องอยู่ในคอลเล็คชั่นของผมอย่างไม่ต้องสงสัย

นาฬิกา Seiko 5 Reference SNXS73K1 (หรือที่ใครๆ เรียกกันว่า Seiko ‘Date Just’)

  • ประเภท: นาฬิกาใส่สบายๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์
  • ปีที่เข้ามาอยู่ในคอลเล็คชั่น: พ.ศ.2564 / ค.ศ.2021
  • รายละเอียดนาฬิกา:
    • วัสดุตัวเรือนและคริสตัล: สแตนเลสสตีล ส่วนกระจกเป็น Hardlex Crystal
    • หน้าปัด: เป็นหน้าปัดสีเงิน Sun Burst และหลักชั่วโมงเป็นแบบ Applied Markers พร้อมพรายน้ำ
    • ขนาดตัวเรือน: เส้นผ่าศูนย์กลาง 37มม / หนา 12มม / หูสายกว้าง 19มม
    • กลไกนาฬิกาSeiko Caliber 7S26 ระบบขึ้นลานอัตโนมัติ สำรองพลังงานได้
    • การกันน้ำ: 30ม
    • เกร็ดความรู้: เลข ‘5’ ที่อยู่ในชื่อ Seiko 5 มีที่มาจากคุณสมบัติ 5 อย่างที่นาฬิกา Seiko 5 ทุกเรือนจะต้องมีคือ
      • กลไกขึ้นลานอัตโนมัติ
      • หน้าต่างแสดงวัน และวันที่
      • การกันน้ำ
      • เม็คมะยมแบบซ่อนที่ 4 นาฬิกา
      • ตัวเรือนออกแบบให้มีความทนทาน
  • เรื่องราว:

ผมจำได้แม่นเลยว่า ผมเห็นนาฬิกาเรือนนี้ครั้งแรกจากช่อง ‘Pond Review’ และช่อง ‘Wimol Tapae’ ที่คุณปอน์ด และคุณบอส ใจตรงกันมารีวิวนาฬิกาเรือนนี้ในเวลาใกล้ๆ กัน หลังจากที่ผมดูรีวิว ก็คือผมโดนป้ายยาเต็มๆ ไม่เพียงแต่ช่องยูทูปคนไทยนะครับ เหล่า YouTuber ต่างประเทศ พร้อมใจกันสดุดี เจ้า Seiko เรือนนี้ว่าเป็น หนึ่งในนาฬิกาที่คุ้มค่าที่สุดในงบไม่เกิน 100 ดอลล่าห์ (ประมาณ 3 กว่าบาท)

ดังนั้นเมื่อปีที่แล้ว ผมจึงตัดสินใจสั่งนาฬิกาเรือนนี้ โดยที่ยังไม่เคยเห็นเรือนจริงด้วยซ้ำ (เป็นช่วงโควิดกำลังระบาดอย่างหนัก) ผมบอกเพื่อนๆ ทุกคนได้เต็มปากเลยครับว่า นาฬิกาเรือนนี้คุ้มค่าทุกบาท ทุกสตางค์ ที่จ่ายไป จริงๆ ผมได้รับคำชม จากคนรอบๆ ตัวเยอะมาก และคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเจ้า Seiko เรือนนี้ราคาสูงกว่าสามพันบาทไปไกลมาก

ผมชอบในความใส่สบายของนาฬิกาเรือนนี้ แถมยังสามารถอ่านเวลาได้อย่างรวดเร็ว (พรายน้ำก็ชัดแจ๋วเต็มตา แต่ก็จะไม่สว่าง และนานเท่ากับพวกนาฬิกาดำน้ำ) ผมไม่ค่อยซีเรียสกับความเที่ยงตรงของเจ้า Seiko เรือนนี้ (-20/+40 วินาที ต่อวัน) เนื่องด้วยราคาของมัน และส่วนใหญ่ผมจะใส่เจ้า Seiko เฉพาะช่วงสุดสัปดาห์ หรือไม่ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ๆ

ข้อด้อยอีกหนึ่งจุดของนาฬิกาเรือนนี้นอกจากความเที่ยงตรง ก็คือสายเหล็กพับที่มากับตัวเรือน คุณภาพก็ตามราคา และเวลาใส่ ขยับข้อมือจะมีเสียงดังตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งแรกที่ผมทำเมื่อได้รับนาฬิกาเรือนนี้มาคือ ผมจับเปลี่ยนเป็นสายหนังสไตล์วินเทจ (น่าเสียดายที่หูสายกว้าง 19มม) ซึ่งผมว่ามันดีกว่าสายเดิมมากๆ เจ้า Seiko 5 เรือนนี้น่าจะยังอยู่กับผมไปอีกนาน

นาฬิกา Jaeger-LeCoultre Reverso Classic Medium Thin Reference JLQ2548440

  • ประเภท: นาฬิกาเดส สำหรับใส่ประจำวัน
  • ปีที่เข้ามาอยู่ในคอลเล็คชั่น: พ.ศ.2565 / ค.ศ.2022 
  • รายละเอียดนาฬิกา:
    • วัสดุตัวเรือนและคริสตัล: สแตนเลสสตีล หร้อมกระจกแซฟไฟร์คริสตัล
    • หน้าปัด: Silvered grey, Vertical satin-brushed and guilloche, Black transferred numerals
    • ขนาดตัวเรือน: สูง 40.1มม กว้าง 24.4มม
    • กลไกนาฬิกากลไกไขลาน Caliber 822A/2, Components; 108 ชิ้น ความถี่ 21600 Jewel 19 ชิ้น สำรองพลังงาน 42 ชั่วโมง
    • ฟังก์ชั่น: มีเฉพาะเข็มชั่วโมง และเข็มนาที
    • การกันน้ำ: 30ม
    • เกร็ดความรู้: นาฬิกา Reverso เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1931 (พ.ศ.2474) ถูกออกแบบมาเพื่อให้นักกีฬาโปโลใส่เวลาแข่งขัน เพราะนาฬิกาสามารถพลิกเอาด้านกระจกเข้าไปด้านใน เพื่อป้องกันกระจกนาฬิกาแตกเสียหาย นับเป็นนาฬิกา Sport Watch ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากศิลปะยุค Art Deco Style ที่มีหรูหรา สง่างาม เป็นเอกลักษณ์ตลอดกาล
  • เรื่องราว:

นาฬิกาเรือนนี้นับเป็นเรือนล่าสุดที่เข้ามาอยู่ในคอลเล็คชั่นของผม เมื่อประมาณเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.2565 นี่เอง นับเป็นนาฬิกาเรือนพิเศษสำหรับผม ตามที่ผมได้เขียนโพสแยกต่างหากเกี่ยวกับเจ้า Reverso เรือนนี้โดยเฉพาะ เพื่อนๆ สามารถอ่านได้ที่ My Dream (Comes True) Watch

ผมได้ทำการสั่งนาฬิกา Reverso กับทาง Jaeger-Lecoultre บูทีค ที่ สยามพารากอน เมื่อเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ.2565 ถึงแม้ว่าผมจะต้องรอเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน (1 เดือนสำหรับการสั่งผลิตจากสวิสเซอร์แลนด์ และอีก 1 เดือนสำหรับงานแกะสลักด้านหลังตัวเรือน) แต่มันเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ที่ผมได้รับจากพนักงานขายทุกท่าน

ในตอนที่สั่งนาฬิกานั้น ผมได้เลือกสายนาฬิกาเป็นหนังจรเข้สีน้ำตาลเข้ม แต่เนื่องจากผมตั้งใจที่จะใส่เจ้า Reverso นี้ไปทำงานเป็นประจำ ผมจึงตัดสินใจสั่งสายนาฬิกาเพิ่มอีก 1 เส้น เป็นหนังนกกระจอกเทศสีน้ำตาลอ่อน เพราะจะสามารถแมทช์เข้ากับการแต่งตัวแบบ Classic Menswear ของผมได้มากกว่า (หนังจรเข้ มีความเงา แถมยังสีเข้ม เหมาะกับงานทางการ งานกลางคืนมากกว่า) ผมสามารถเปลี่ยนสายสลับไปมาได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆ เพราะนาฬิกาและสายมาพร้อมกับระบบ Quick Release

การเดินทาง และเรื่องราวระหว่างผมกับเจ้า Reverso เรือนนี้เพิ่งจะเริ่มต้น และผมตั้งใจว่านาฬิกาเรือนนี้จะอยู่กับผมตลอดไปจนกว่า จะถึงเวลาที่ผมจะส่งต่อให้กับลูกสาวของผม

นาฬิกาที่ผมตั้งใจให้มาอยู่ในคอลเล็คชั่นในอนาคต

เพื่อความกระชับของโพสนี้ ผมขอพูดถึงนาฬิกาที่ผมวางแผนไว้ว่าจะซื้อเข้ามาอยู่ในคอลเล็คชั่นในอนาคต ในโพสถัดไป นะครับ

บทสรุป

ไม่ทราบว่าเพื่อนๆ คิดยังไงเกี่ยวกับนาฬิกาในคอลเล็คชั่นของผม ถ้าหากเพื่อนๆ มีความเห็นเพิ่มเติม หรืออยากจะแนะนำ ติชม จะเห็นด้วย หรือเห็นต่าง ผมยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นนะครับ สามารถเขียนลงมาในช่อง comment ข้างล่างได้เลยครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผมโดยการ กดติดตาม IG @my.six.point.five.inch.wrist และ @mickyjicky ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ !!

State of The Collection – My watch collection journey in 2022

The end of year 2022 is just around the corner, I would like to update all of the watches in my collection and what I plan to purchase in the future including the reasons behind it.

For me, I quite enjoy checking out others watch collection because I found that the stories behind each acquisition are very amusing and yet very knowledgeable and inspiring.

I hope that my post would be the same to any watch enthusiasts out there as well.

How I categorized my watch collection?

Start with my ‘Current Collection’ – all the watches that I currently own with the year that I acquired them and some hard facts with my story for each of them.

There is also the ‘Wish List’ – watches that I plan to purchase in the future and the reasons behind them. Normally, I try to set criteria as ‘My Rules’ to help me to frame my thought on how should I build up my watch collection.

What are ‘My Rules’?

Rule#1 I cannot own more than 1 watch of each brand.

Rule#2 I cannot own more than 1 watch of each category.

Rule#3 Build up watch collection with watch type/category whichever that I prefer BUT can ONLY purchase for celebration of achievement(s) or important milestone(s) in life.

Rule#4 Must NOT put myself into financial problem.

My Current Collection

Rolex Submariner Reference 1680

My vintage Rolex Submariner Ref.1680 with other watches in my collection
  • Category: Vintage Watch / Family Heirloom
  • Year of Acquisition: 1994
  • Details: (Source: https://www.bobswatches.com/rolex-blog/watch-review/appeal-reference-submariner-1680.html)
    • Production Years: 1967-1980 (approx)
    • Case & Crystal: Stainless Steel Black Dial / Acrylic with Cyclops and Oyster Bracelet
    • Bezel: Bidirectional Black Aluminum Insert with 60-minute timing scale
    • Dimensions: 40mm Diameter / 20mm Lug width
    • Movement: Caliber 1575 (Cal.1570 base) Automatic winding
    • Water Resistance: 200 meters / 660 feet
    • Fun facts: Ref.1680 is the first reference that Rolex introduce a date function in Submariner product line. I swapped the bracelet to suede leather strap to fit in the ‘weekend watch’ & ‘vintage vibe’
  • My story:

I received this watch as a present from my uncle when I got into School of Architecture 18 years ago (when the watch price wasn’t as crazy as today). When I saw my uncle wore this Rolex Sub for the first first time, I absolutely loved it. I asked him so many questions about this watch until he told me that “If you can get in to Architectural School, I will buy you one”.

I’ve worn this watch almost everyday thru my bachelor degree and my master degree in the USA. It went everywhere around the world with me during the beginning of my career (you can see what this watch has been thru from the photo) . I still wear it these days but only on the weekend and it’s still running great!! It really hard to argue that Rolex has create tough watches but yet so beautiful and really iconic.

Swatch Quartz Chronograph

The Swatch Quartz Chronograph that’s not the ‘MoonSwatch’
  • Category: Fun Watch / Family Heirloom
  • Year of Acquisition: Unknown
  • Details:
    • Case & Bracelet: Stainless Steel
    • Dimensions: 43mm case width / 12.67mm thickness / 49mm lug-to-lug
    • Movement: Quartz
    • Functions: Chronometer with Date window at 4.30
    • Water Resistance: 30 meters
    • Fun fact: Do you know that you can go to Swatch shop to replace battery free of charge as long as you own the (s)watch?
  • My story:

When I first saw this watch it was on my father’s wrist long time ago. It was a cool watch. I cannot recall that I asked my dad to have this watch or not? But it turned out that I found it in my drawer when I was clearing out my room at my parents’ house at the time that they sold that house and to move to their new house.

When I saw this watch again in my drawer it reminded me of the ‘Speedy’ ; Omega Speedmaster (at that time the MoonSwatch wasn’t exist). So I decided to keep it because I know that I can do something fun with this watch. Just early this year, I went to Swatch shop to replace the battery. Luckily, the watch still running but the chronograph function isn’t. Also I replaced a broken bracelet with Swatch’s brown leather strap (too bad – we cannot use after market strap with Swatch).

I wear this watch occasionally. For me, this watch is not about wearing it BUT every time that I see it, I see my childhood & my relationship with me and my dad.

Apple Watch Series 7 45mm Stainless Steel in Silver

Apple Watch Series 7 in Stainless Steel with Milanese Bracelet (Loop)
  • Category: Smart Watch
  • Year of Acquisition: Early 2022
  • Details:
    • Case & Bracelet: Stainless Steel & Milanese Style Bracelet
    • Dimensions: H 45mm W38mm D10.7mm
    • Chip: S7 with 64-bit dual core processor / W3 Apple wireless chip / U1 chip (Ultra Wideband)
    • Functions: (Key Features)
      • GPS + Cellular with Wi-Fi & Bluetooth connectivity
      • Always-on display
      • Blood Oxygen Sensor
      • Electrical Heart Sensor
      • Fall Detection
      • and the list goes on…
    • Water Resistance: 50 meters (Water Sport Proof)
    • Fun fact: Do you know that the 1st Apple Watch model called “Series 0 (zero)”?
  • My Story:

My family and my friends know that I’m an Apple Fanboy. My first Apple product was iMac G3 (the one that came out with Blue, Red, Green, Yellow, and Purple color options). I owned Apple Watch since Series 0 (zero) and I keep updating my Apple Watch along the way.

For this update, I chose the ‘Stainless Steel’ model, even though it’s more expensive than the Aluminum model with almost the same functions. The reason was purely my Watch Enthusiastic. I want to wear a Smart Watch that has a finishing quality closes to Analog Watch as much as possible.

Normally, I wear Apple Watch when I do some exercises i.e. running, tennis, swimming, and tracking my sleep. I admit that I cannot stay away from Tech products. I wanna try new features (especially Apple’s product). That’s why Apple Watch is in my collection and it definitely will be in the future.

Seiko 5 Reference SNXS73K1 (A Budget Friendly ‘Date Just’)

Some say this is a budget friendly ‘Date Just’ and some say ‘Oyster Perpetual’
  • Category: Weekend Sport Watch
  • Year of Acquisition: 2021
  • Details:
    • Case & Crystal: Stainless Steel & Hardlex Crystal
    • Dial: Silver Sun Burst with applied Markers with Lume
    • Dimensions: 37mm Diameter / 12mm Thickness / 19mm Lug width
    • Movement: Seiko Caliber 7S26 Automatic winding
    • Functions: Time with Running Seconds; Day-Date Display
    • Water Resistance: 30 meters
    • Fun fact: The “5” is a reference to the attributes that any Seiko 5 watch would offer;
      • Automatic Winding
      • Day & Date Display
      • Water Resistance
      • Recessed crown at 4 o’clock
      • Durable Case
  • My story:

I remember clearly that I knew this watch from ‘Pond Review’ (Thai with English Subtitle) and ‘Wimol Tapae’ (Thai Language) Channel. They were both provided a great review on this watch. There are also many ‘Watch YouTubers’ around the world give praise to this watch as ‘Entry Level Mechanical Watch’, ‘Best Watch for $100’, etc.

So last year, I decided to buy one to give it a try. I can tell all of you that this watch is worth every penny. I got many many compliments when I wore this watch. People always have an impression that this watch cost more than $100.

It’s very comfortable to wear and the legibility is very good (plenty of Lume as well). I don’t mind much about its accuracy (-20/+40 second per day) because I wear this watch occasionally during a weekend or a short travel trip.

Another downside of this watch beside the accuracy is its bracelet. The first thing I did when I got this watch was changing to vintage style leather strap (19mm lug width) which turned out very nice (for me). This watch definitely stays in my collection.

Jaeger-LeCoultre Reverso Classic Medium Thin Reference JLQ2548440

My Reverso with Ostrich Leather Strap
  • Category: Everyday Dress Watch
  • Year of Acquisition: 2022
  • Details:
    • Case & Crystal: Stainless Steel with Sapphire Crystal
    • Dial: Sivered grey, Vertical satin-brushed and guilloche, Black transferred numerals
    • Hands: Baton with heated blue steel
    • Dimensions: (L x W): 40.1 x 24.4mm
    • Movement: Manual winding Caliber 822A/2, Components; 108, Vibrations per hour: 21600, Jewels: 19, Power Reserve: 42 hours
    • Function: Hour – Minute
    • Water Resistance: 30 meters
    • Fun fact: First released in 1930 for Polo sport players, Reverso originally was released as ‘Sport Watch’ with the ‘Art Deco Style’ influences, it is the most elegant sport watch of all time.
  • My story:

This is my latest acquisition. I just got this watch in October 2022. It is a very special watch to me as I made My Dream (Comes True) Watch post separately.

I ordered this Reverso at Jaeger-Lecoultre Boutique Siam Paragon (Bangkok, Thailand) in August 2022. Even though I have to wait for 2 months; one month for order a new watch from Switzerland and another month for personal engraving on the case back, it was a great experience with all the services from SAs in the boutique.

I originally placed an order of my Reverso with a Dark Brown Alligator Strap (will add photo more in future) BUT since I planned to wear this watch daily (perfect with my Classic Menswear style), I also order another strap in Light Brown Ostrich (as shown in photos) which would fit more with my daily wear. And I keep the alligator strap for some special Night Events (thanks to quick release system that comes with the watch & strap).

My journey with my Reverso has just begun and this watch will stay in my collection forever until I pass it on to my daughter.

My ‘Wish List’ Watches

In order to keep this post not too long to read. Let’s continue my ‘Wish List’ watches in the next post.

My Final Thought

As usual, what do you guys think? Please feel free to drop your comments. Any opinion and suggestion are very welcome here.

Please help to support my works by visiting & following my IG account @my.six.point.five.inch.wrist

Thank you & See you on the next one!!

My Dream (Comes True) Watch is ‘The Reverso’

Watches have a special ability to have so many meanings. It depends on how each person looks and values his/her watch.

For some people, watch is a tool to tell or to measure the time.

For some people, watch is an accessory that compliment their outfits.

For some people, watch is an object that represents their social status.

For some people, watch is an asset of investment.

For some people, watch can represent their beloved one. 

For some people, watch is a statue of their success.

and many more…

There is no right or wrong for all of the above. That’s the magic of watches and that is why so many men and women are obsessed with these little well engineered and decorated mechanism . That’s right! I am one of them.

Here, I would like to start ‘My Journey’ blog about watches by talking about ‘My Dream (Comes True) Watch’.

Reverso Classic Medium Thin Ref.JLQ2548440 Manual winding, Stainless Steel in Light Brown Ostrich Strap

Yes, it is ‘The Reverso’

The Reverso has been ‘My Dream Watch’ for more than a decade. I’ve admired its history, functionality, and most of all the beauty of it.

When the time is right and when I’m ready, today my dream has come true. I’m lucky enough to own my dream watch. When I look at this watch, it represents my hard work, my patience, and my accomplishment.

I’m very certain that ‘My Reverso’ will be with me almost everyday and that is where the connection and story between ‘Me and My Reverso’ will grow.

I called this watch, “My Reverso” because I decided to make it ‘Personal’ by engraving the back of its case with the most meaningful words that a father can possibly say to his daughter.

Case Size 40.1 x 24.4mm Calibre Jaeger-LeCoultre 822A 42 Hours Power Reserve Water Resistance 3 bar

Until the time is right I will look forward to pass on my beloved timepiece to my daughter (and she is more than a world to me).

And that will be the time for My Reverso to finally fulfill my dream.

My Final Thought

Do you have the same experience as my story? Or you can leave your comments and let me know what you guys think. Any opinion and suggestion are very welcome.

Please help to support my works by visiting & following my IG account @my.six.point.five.inch.wrist

Thank you & See you on the next one!!