เราใช้เหตุผล หรืออารมณ์ในการเลือกซื้อนาฬิกา?

เพื่อนๆ เคยถามตัวเองบ้างมั๊ยครับว่า “เราใช้อะไรในการตัดสินใจเลือกซื้อนาฬิกามาอยู่ในคอลเล็คชั่น?” “เราใช้กฎเกณฑ์ที่เราตั้งขึ้นมา หรือใช้อารมณ์ ความชอบล้วนๆ?”

ถ้าคำตอบคือ “ใช่” แปลว่า เพื่อนๆ มาถึงจุดที่คนชื่นชอบนาฬิกาทุกคน เคยเป็นครับ มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะต้องคอยต่อสู้กับเหตุผล และอารมณ์ของเรา และในโพสนี้ ผมจะขอพูดถึงว่า เราจะปรับแนวคิดของเราให้อยู่กับหลักการทั้ง 2 อย่างนี้ได้อย่างไร

กฎเกณฑ์ และเหตุผล

(Source: www.marketing91.com)

เนื่องจากสมองของมนุษย์มีทั้งด้านที่เน้นตรรกะ และเหตุผล กับอีกด้านที่เน้นเรื่องของสุนทรียะ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่สมองของเราจะพยายามสร้างกฎเกณฑ์ และเหตุผลต่างๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ยกตัวอย่างเช่น บางคนอาจจะตั้งกฎของตัวเองขึ้นมาว่า เราจะเลือกเก็บเฉพาะนาฬิกาที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์เท่านั้น (Iconic Watch) หรือ บางคนอาจจะมองหาเฉพาะนาฬิกาที่มีฟังก์ชั่น complication เท่านั้น หรือในทางตรงกันข้าม บางคนอาจจะเลือกเก็บเฉพาะนาฬิกาที่มีฟังก์ชั่นบอกเวลาอย่างเดียว เป็นต้น

Courtesy of Christie’s

ซึ่งผมเอง ก็มองเห็นประโยชน์ของการใช้เหตุผลประกอบในการตัดสินใจ เป็นข้อๆ ตามนี้ครับ

เป็นการสร้างความคิดที่มีแบบแผน

ถ้าเราไม่ตีกรอบความคิด หรือความอยากได้ของเรา เราคงอยากจะได้นาฬิกาเรือนนั้น เรือนนี้เต็มไปหมด ซึ่งถ้าเรามีงบประมาณไม่จำกัด ก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่ในความเป็นจริงมันคงไม่ใช่แบบนั้น และเมื่อเรามีการตีกรอบความคิด และกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน นั่นแปลว่าเราสามารถกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้นว่าเราต้องการเก็บนาฬิกา เรือนไหนบ้าง จำนวนเท่าไหร่ จะใช้เวลานานแค่ไหน และใช้เงินประมาณเท่าไหร่ ถูกมั๊ยครับ

เป็นการสร้างคุณค่าในการสะสม

เป็นที่รู้กันดีว่า การสะสมสิ่งของต่างๆ นั้นต้องใช้เวลา และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ก็จะมีเรื่องราวในเราได้นึกย้อนกลับไป ดังนั้นหากเราตั้งโจทย์ให้กับตัวเอง หรือเราตั้งเป้าหมายที่ท้าทายให้กับตัวเอง จนเมื่อเราทำสำเร็จ มันยิ่งเพิ่มคุณค่า และสร้างความหมายให้กับเรื่องราวนั้นๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก

เป็นการพัฒนาองค์ความรู้ และรสนิยมส่วนตัว

เหมือนที่ผมเคยเขียนไว้ในโพสก่อนหน้านี้ว่า การเลือกสะสมนาฬิกานั้นเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวมากๆ และที่สำคัญมากๆ เลยคือ ความชอบ และรสนิยมส่วนตัวนั้นมันแปลี่ยนไปตามกาลเวลา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรืองแปลกที่กฎเกณฑ์ที่เราตั้งไว้ จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต โดยที่ความเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะเกิดจาก การค้นคว้าหาข้อมูลมากขึ้น ประสบการณ์ในการซื้อ การใช้งานนาฬิกาที่มากขึ้น หรืออายุของเราเองที่มากขึ้น หรืออาจจะมาจากปัจจัยภายนอกเช่น การเปลี่ยนงาน เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ การมีครอบครัว มีลูก ฯลฯ จึงสามารถพูดได้ว่า เมื่อกฎเกณฑ์ที่เราตั้งไว้มีการเปลี่ยนแปลง นั้นแปลว่าเราได้พัฒนาองค์ความรู้ และรสนิยมส่วนตัวของเราด้วยเช่นกัน

อารมณ์และความชอบ

ก่อนหน้าที่ผมจะเขียนบทความนี้ ผมบอกกับตัวเองมาตลอดว่า เราจะต้องสกัดความชอบ และอารมณ์ อย่าให้มาอยู่เหนือเหตุผลในการตัดสินใจเลือกซื้อนาฬิกาซักเรือน จนผมได้เข้าไปดูยูทูปคลิป Watchbox’s collector conversation with Mark Cho ที่คุณ Mark Cho (IG: @markchodotcom หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้าน The Armoury และ Drake’s ซึ่งคุณ Mark ก็เป็นนักสะสมนาฬิกา ที่มีนาฬิกาในคอลเล็คชั่นที่น่าสนใจมากๆ ด้วย) ให้สัมภาษณ์กับ คุณ Tim Mosso (IG: @tim_mosso Director of Media & Watch Specialist ของเว็บไซต์นาฬิกาชื่อดัง Watchbox) ได้อย่างน่าสนใจมากๆ

คุณ Mark ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “เราควรจะต้องมีโอกาสได้ครอบครองนาฬิกาเรือนนั้นๆ ในช่วงระยะเวลานึง มันจึงไม่ผิดที่เราจะตัดสินใจซื้อ ใช้เงินกับสิ่งที่เรายังไม่แน่ใจ เพื่อเราจะได้ใช้เวลา เพื่อให้เข้าใจมันมากขึ้น เพราะว่าการที่เราอ่าน หรือดูรีวิวต่างๆ หรือแม้กระทั่งการที่ได้ไปเห็น ไปจับเรือนจริงๆ ที่ช้อป ก็ยังไม่เพียงพอ เราควรที่จะต้องได้ใช้งานมันจริงๆ ใช้ชีวิตประจำวันของเรา แล้วถึงจะรู้ว่านาฬิกาเรือนนั้น มันเหมาะกับเราจริงๆ หรือไม่ และที่สำคัญ ความชอบนาฬิกามันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ดังนั้นมันควรที่จะต้องเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเราได้จริงๆ”

ผมนั่งฟังบทสัมภาษณ์นี้อยู่หลายรอบ มันสะกิดใจผมมากจนผมถึงกับต้องจดลงในสมุดบันทึกส่วนตัว เพื่อทำความเข้าใจกับมันอยู่พักใหญ่ จนเมื่อผมเข้าใจมันจริงๆ แล้ว เหมือนมีคนมาเปิดประตูอีกบานให้เราเข้าไปอยู่ในแนวคิดใหม่ ที่เรานึกไม่ถึงมาก่อน

(Source: equestasia.au)

จากที่ผมพยายามไม่ให้อารมณ์ และความตื่นเต้นมาอยู่เหนือเหตุผล ผมเริ่มเปิดใจ และเปิดโอกาสให้ตัวเอง ไม่ให้ตัวเรายึดติดกับกฎเกณฑ์ หรือตัวเลข ใน spec sheet มากจนเกินไป เพื่อให้ได้ลองผิด ลองถูก และรู้จักกับนาฬิกาที่เหมาะสมกับเราจริงๆ

บทสรุป

ในท้ายที่สุดแล้ว เราควรจะ enjoy ไปกับงานอดิเรกนี้ อย่าไปเครียดกับมันจนเกินไป สำหรับผมแล้วการได้หาข้อมูล เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และได้รู้จักเพื่อนๆ ที่สนใจนาฬิกาเหมือนกัน นั่นสำคัญกว่าการเลือกซื้อนาฬิกาเสียอีก แล้วการสะสมนาฬิกานั้น จะมีความหมายกับเรามากยิ่งขึ้น และยังเป็นการพัฒนาความรู้ รสนิยม สไตล์ส่วนตัวของเราอีกด้วย

หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะ ข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่างตรงไหน สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ ยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน และฝากสนับสนุน ผลงานของผมโดยการกดติดตาม IG @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ในโพสถัดไปครับ!!

My Watch Journey: Watch Collecting Philosophy or Emotional Impulse?

Have you ever ask yourself about how are you collecting your watches? Does it base on your collecting philosophy or it’s just emotional impulsive?

If the answer is “Yes”, you are not alone and probably in the right place because I’m about to tell you how I am living together with these two schools of thought.

Collecting Philosophy

This is like a logical side of our brain. I think it’s quite a normal function of our brain to try to rationalize the way we think when we are trying to acquire any new watch or build up our collection. Our brain can start to set up some ground rules such as how many type, some might looking ‘only iconic watches’, some are hunting for only ‘watches with complication functions’, in opposite, some are searching for ‘time only’ watches, and the list goes on.

I also found some benefits of having this rational thinking as follow:

(Source: www.marketing91.com)

Strategic Thinking

I think it’s good to have a frame work otherwise our brain will go all over places. And once we have a set of rules that means we have some kind of goal that we are looking for.

Courtesy of Christie’s

Meaningful Watch Journey

As we all know, collecting watches takes time which is part of the fun. Establishing a set of rules for ourselves along the way will help to create stories of how hard or how challenging before you can own watches that you really want. The harder/longer, the more meaningful of that watch journey.

Developing your taste

As I mentioned so many times already, watch collecting is very personal. It depends on the taste of individual and it can change overtime. Therefore, it’s okay that your rules might change in the future. It might be from ourselves that we get older or it might come from other factors such as getting new careers, having a new born child, etc. When your rules changed overtime that means your taste has been developed too.

Emotional Impulse

This is more like a emotional side of our brain. For me, sometime I need a little push to have a courage before I can actually jump. My emotional impulse is that ‘push’. I also totally agree with Mark Cho (IG: @markchodotcom); co-Founder of The Armoury and Drake’s, he’s also a watch collector and his collection is very amazing, when he gave an interview with Tim Mosso (IG: @tim_mosso); Director of Media & Watch Specialist for Watchbox in Watchbox’s collector conversation with Mark Cho.

He was saying that “You have to ‘own something’ for a little bit. It’s okay to spend the money. Buy and do it and get sense for it. Because just reading a review or just seeing it in a shop is not enough. You have to handle it and live with it and see how it fits into you life. Because watches are personal things and it needs to fit into your life.”

I couldn’t agree with him more. After I listened to him a couple of times, I noted it down and then tried to understand it, I changed my way of thinking.

(Source: equestasia.com.au)

From only follow my ground rules and prevent my emotional to interfere, I rather to embrace it and allow some flexibilities and mistakes to happen which is a part of developing my taste as well.

My Final Thought

At the end of the day, collecting watch should be a fun journey. We don’t have to put ourselves too seriously. We should make it meaningful and develop our taste along the way as part of my “Personal Style Journey”.

What do you think? Please feel free to drop your comments below. Any opinion and suggestion are very welcome. It’d be much appreciated if you consider to visit & follow my IG account @mickyjicky and @my.six.point.five.inch.wrist

Thank you & See you on the next one!!

ทำไมผมถึงหันมาชอบใส่นาฬิกาขนาด 36-40มม? และอยากให้เพื่อนๆ หันมาสนใจเหมือนกัน

ถ้าเพื่อนๆ คนไหนที่ติดตาม Instagram ของผม @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist จะเห็นว่าผมเริ่มหันมาสนใจ และกำลังอินกับนาฬิกาที่มีขนาดเล็กเป็นอย่างมาก ดังนั้นในโพสนี้ผมจะขอพูดถึงเรื่องของ “ขนาดของนาฬิกา” กันครับ ว่าทำไมผมถึงหันมาหลงไหล คลั่งไคล้นาฬิกาเรือนเล็ก และทำไมผมอยากให้เพื่อนหันมาสนใจด้วยเหมือนกัน

ผมมีเหตุผล 4 ข้อหลักๆ ให้พิจารณากัน ตามนี้ครับ

ความสบายในการใส่

เมื่อเราพูดถึงความสบายในการสวมใส่ สิ่งที่เรานึกถึงเป็นอย่างแรกก็คือ ขนาดข้อมือของแต่ละคน สำหรับผม ข้อมือผมมีขนาดเส้นรอบรูป 6.5นิ้ว (หรือ 16.5ซม) ซึ่งแต่ก่อนผมก็ชอบใส่นาฬิกาเรือนใหญ่ๆ เหมือนกับที่ทุกๆ คนใส่กัน ตามกระแสในยุคที่นาฬิกา Panerai ดังไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ไม่ว่าจะผู้ชาย หรือผู้หญิงก็ใส่ Panerai ขนาด 44มม กันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ผมขอบอกเลยครับว่าผมใส่แล้วมันไม่มีความสบายเลย ไม่สบายถึงขนาดที่ผมจะต้องถอดนาฬิกาออก เพื่อพักข้อมือผมวันละหลายๆ ครั้ง (ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ คนไหน เป็นเหมือนผมกันบ้างรึป่าว?) แต่ผมก็ทนใส่ต่อไป เพราะว่าตอนนั้นยังอยากตามกระแสแฟชั่น กลัวตกเทรนด์

Rolex Explorer Ref.14270 ขนาด 36มม ความยาว lug-to-lug ที่ 43.6มม หนา 11.5มม

จนเมื่อผมได้มีโอกาสใส่นาฬิกาที่มีขนาดเล็กลงมาที่ขนาด 36-37มม ผมถึงได้เข้าใจว่านาฬิกาที่มันใส่สบายนั้นเป็นอย่างไร ด้วยสาเหตุว่า เมื่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางนาฬิกาเล็กลง ความหนาของตัวเรือนบางลง และน้ำหนักก็เบาลงไปด้วย ดังนั้นผมสามารถใส่นาฬิกาไซส์นี้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องถอดออกมาพักอีกต่อไป แถมในบางครั้ง ผมลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าผมใส่นาฬิกาอยู่ (มันสบายได้ขนาดนั้นครับ)

พอเพื่อนๆ อ่านมาถึงจุดนี้ เพื่อนๆ อาจจะคิดว่าถ้าเพื่อนๆ มีขนาดข้อมือที่ใหญ่กว่าข้อมือผม หรือเอาเป็นว่ามีข้อมือตั้งแต่ 7 นิ้วเป็นต้นไป ก็ควรจะใส่แต่นาฬิกาขนาดใหญ่ เพราะคงไม่มีปัญหาเรื่องความไม่สบายในการใส่ใช้งาน คำตอบคือ “ใช่” แต่ก็ “ไม่จำเป็นเสมอไป” ครับ

Rolex Submariner Ref.1680 ขนาด 40มม ความยาว lug-to-lug ที่ 47.7มม หนา 15มม

ที่ตอบว่า “ใช่” ก็เพราะว่า คนที่มีข้อมือใหญ่นั้นสามารถใส่นาฬิกาที่มีตัวเรือนขนาดใหญ่ได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนๆ นั้นไม่สามารถ หรือไม่ควรจะใส่นาฬิกาเรือนเล็กนะครับ เพราะในความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่า “ทุกคนสามารถใส่นาฬิกาเรือนเล็กแล้วดูดีได้ แต่น้อยคนที่จะใส่นาฬิกาเรือนใหญ่แล้วดูดีนะครับ” หรือจะพูดอีกอย่างได้ว่า “นาฬิกาเรือนเล็กไปอยู่บนข้อมือใหญ่ๆ แล้วยังโอเคนะครับ แต่นาฬิกาเรือนใหญ่มาอยู่บนข้อมือเล็กๆ แล้ว ผมว่าไม่โอเคอย่างแรง”

ความดูดี มีสไตล์

Rolex Daytona Ref.6265 “Big Red” ขนาด 37มม ความยาว lug-to-lug ที่ 44.8มม หนา 13มม

เรื่องนี้เป็นเรื่องของความงาม และรสนิยมล้วนๆ เลยนะครับ เพราะผมกำลังจะพูดถึง สัดส่วนที่งดงามของสิ่งที่อยู่บนข้อมือของเราครับ ซึ่งในความคิดของผมนั้น สัดส่วนที่ลงตัวคือขนาดของนาฬิกาจะต้องไม่ใหญ่เกินไปจนไม่เหลือเนื้อที่ของข้อมือผู้ใส่ให้เห็นครับ หรือจะพูดอีกอย่างก็ได้ว่า นาฬิกาควรจะมีขนาดที่เหมาะสมพอที่เราสามารถมองเห็นข้อมือของผู้ส่วมใส่รอบตัวเรือนนาฬิกาได้ด้วย

ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงไม่ต่างอะไรกับการที่เราเลือกเสื้อผ้าที่เราจะใส่ให้ดูดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราคุ้นเคยกับเสื้อผ้าสไตล์ Classic Menswear กันอยู่แล้ว เป็นที่ทราบดีว่าเราควรจะต้องเลือกขนาดของเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับขนาดร่างกายของเรา หลักการง่ายๆ คือไม่ควรหลวมโคร่ง (คือนาฬิกาไม่ควรจะเล็กจนเหลือพื้นที่รอบตัวเยอะเกินไป) และก็ไม่ควรคับแน่นจนเกินไป (คือนาฬิกาไม่ควรจะใหญ่แน่นเต็มข้อ จนไม่เหลือพื้นที่รอบตัว)

และการที่นาฬิกามีขนาดที่เหมาะสมและเหลือพื้นที่บนข้อมือ จะทำให้สายของนาฬิกาไม่ว่าจะเป็นสายหนัง หรือสายสแตนเลสมาเกาะอยู่บนข้อมือ (ยิ่งถ้าเป็นสายนาฬิกาที่มีการ “Taper” หรือการเรียวลง จะยิ่งสวย) เวลามองจากมุมบนลงไป เราจะเห็นมุมมองของนาฬิกาที่สวยที่สุดที่มันควรจะเป็น มากกว่าการที่นาฬิกามีขนาดใหญ่เต็มข้อมือ จนไม่เหลือที่ให้สายมาเกาะทำให้สายนาฬิกาหักลงไปทื่อๆ เวลามองจากด้านบนเราจะมองเห็นแต่หน้าปัดนาฬิกาอย่างเดียว

ตามที่ผมได้เกริ่นไว้ตอนต้น (และนี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ) เมื่อผมเห็นคนที่ตัวใหญ่ หรือข้อมือใหญ่แต่ใส่นาฬิกาเรือนเล็ก ผมมีความชื่นชมในตัวบุคคลนั้นนะครับ ผมรู้สึกว่าคนๆ นั้นมีสไตล์เป็นของตัวเอง และรสนิยมที่น่าสนใจ

มีใครสังเกตมั๊ยครับว่า นาฬิกาด้านซ้ายมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าเรือนด้านขวา (Source: timeandtidewatches.com)

และเมื่อเราพูดถึงเรื่องขนาดของนาฬิกา โดยทั่วไป เพื่อนๆ มักจะคุ้นกับระยะ เส้นผ่าศูนย์กลาง (diameter) ความหนา (thickness) และขนาดหูสาย (lug width) แต่เพื่อนๆ จะไม่คุ้นกับระยะ “Lug-to-Lug” ซึ่งมันคือความยาวรวมของนาฬิกา วัดจากขอบด้านหนึ่ง จนถึงขอบอีกด้านหนึ่ง (วัดในแนว ทิศเหนือ-ใต้) ซึ่งจริงๆ แล้ว ระยะ Lug-to-Lug เป็นระยะความยาวที่บ่งบอกขนาดจริงๆ ของนาฬิกาเรือนนั้นๆ ไม่ใช่ระยะเส้นผ่าศูนย์กลางของตัวเรือน (เหมือนที่คนส่วนใหญ่ใช้อ้างอิงกัน) เพราะว่ามันมีนาฬิกาบางแบรนด์ และบางประเภทที่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตัวเรือนเล็กก็จริง แต่มีขา (lug) ที่ยาวมากเป็นพิเศษ ส่งผลให้เวลาใส่จริงจะคลอบคลุมพื้นที่ข้อมือ ไม่ต่างจากนาฬิกาตัวเรือนใหญ่ เช่น แบรนด์ Nomos และนาฬิกาแนวทหาร พวก Field Watch หรือ Pilot Watch

ราคา

โดยปกติแล้ว นาฬิกาเรือนเล็กราคาจะถูกกว่านาฬิกาที่มีขนาดตัวเรือนใหญ่กว่านะครับ (ถ้าเทียบระหว่าง รุ่น และแบรนด์เดียวกัน) นี่เราพูดถึงทั้งราคาในช้อป หรือบนหน้าเว็บไซต์ (ลองเข้าไปดูในเว็บของ Rolex, IWC, Omega ก็ได้ครับ) และยังรวมไปถึงราคาในตลาดมือสองด้วย โดยเฉพาะพวกนาฬิกาที่ตัวเรือนที่ทำมาจากทอง และที่ประดับอัญมณีทั้งหลายนะครับ นาฬิกาเรือนเล็กลง ก็ใช้วัสดุน้อยลง ราคาก็เลยถูกกว่าครับ

ผมว่าเหตุผลนี้ไม่ต้องอธิบายกันเยอะ และนี่ก็น่าจะถูกใจใครหลายๆ คน ที่พอจะเอาไว้ใช้เป็นข้ออ้างในการซื้อนาฬิกากันได้นะครับ ^_^

ความคลาสสิค อยู่เหนือกาลเวลา

เป็นที่รู้กันดีนะครับว่า นาฬิกาวินเทจส่วนใหญ่แล้วจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 33-36มม (ซึ่งสำหรับผมนี่คือขนาดที่ลงตัวที่สุด) ส่วนนาฬิกาที่มีขนาด 37-38มม จะถือว่าเป็นนาฬิกาที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ แต่ในปัจจุบัน นาฬิกาที่มีขายกันในท้องตลาดจะมีขนาดที่ 40-42มม ถือเป็นไซส์มาตราฐานของคุณผู้ชาย โดยที่บางแบรนด์ก็จัดเอานาฬิกาขนาด 36มม ไปอยู่ในกลุ่มนาฬิกาสำหรับคุณผู้หญิง(ซะงั้น)

ในขณะที่คนส่วนใหญ่ เมื่อจะซื้อนาฬิกาใหม่ซักเรือน ก็จะมองหานาฬิกาที่มีขนาด 40-42มม ซะเป็นส่วนใหญ่ จริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจนะครับ เพราะแทบทุกแบรนด์นั้นก็ขยันออกนาฬิการุ่นใหม่ๆ มาในไซส์นี้ แต่สำหรับผม ผมมองหานาฬิกาที่มีขนาด 36-37มม เป็นลำดับต้นๆ ก็อาจจะเป็นเพราะว่า ผมมีความชื่นชอบนาฬิกาสไตล์วินเทจ และการแต่งตัวสไตล์ classic เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เหตุผลหลักของผมเลย คือ ผมเชื่อว่า นาฬิกาขนาด 36-37มม นั้นเป็นขนาดที่ลงตัว เป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลาที่สุดครับ ซึ่งไม่น่าแปลกใจครับที่ทาง Rolex ถึงยังคงนาฬิกาขนาด 36มม ไว้ใน Collection Date Just และ Oyster Perpetual และจากที่เคยเพิ่มขนาดของ Explorer เป็น 39มม ก็กลับมาลดขนาดคงเดิมที่ 36มม และล่าสุดก็เพิ่งจะเพิ่มขนาด 36มม ไปใน Collection Day Date

Patek Philippe Perpetual Calendar Ref.3940G ขนาด 36มม ความยาว lug-to-lug ที่ 43.3มม หนา 8.8มม (Source: bazamu.com)

ขอสารภาพอีกอย่างครับว่า การที่ผมชอบนาฬิกาขนาดเล็กแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกท้าทายที่จะต้องใช้ความพยายาม และเวลาในการตามหานาฬิกาที่ถูกใจเรามากกว่านาฬิกาที่เห็นอยู่ทั่วๆ ไป

บทสรุป

ก็หวังว่าเหตุผลที่ผมได้อธิบายให้เพื่อนๆ ทุกคนได้อ่านกันจบไปแล้วนั้น จะพอดึงความสนใจให้ทุกคนหันมามอง และคิดที่จะเลือกใส่นาฬิกาเรือนเล็กลงกันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี มันยังมีปัจจัย ปลีกย่อยที่ผมไม่ได้กล่าวถึงอย่าง รูปร่างของตัวเรือน เช่น ตัวเรือนสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวเรือนแบบถังเบียร์ (Tonneau) ฯลฯ ความหนาของตัวเรือน สีของหน้าปัด สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของเราเวลามองว่า นาฬิกาเรือนดังกล่าวมีขนาดใหญ่ หรือเล็กบนข้อมือเรา นะครับ (ผมอาจจะเขียนแยกเป็นอีกโพสต่างหากในอนาคตนะครับ)

และที่ผมเขียนอธิบายมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าผมจะบังคับให้ตัวเองสนใจแต่นาฬิกาขนาด 36-37มม อย่างเดียวนะครับ สำหรับตัวผมแล้ว จากประสบการณ์ที่เคยใส่ใช้งานจริง และได้ลองใส่นาฬิกาที่ผ่านๆ มา ผมสามารถใส่นาฬิกาขนาดใหญ่ที่สุดได้ที่ขนาด 40มม โดยผมคิดว่า นาฬิกาขนาด 38-40มม นั้นเหมาะที่จะเป็นนาฬิกาที่ผมจะใส่สำหรับโอกาสวันหยุด ไปเที่ยว หรือในวันที่ผมทำกิจกรรม outdoor ต่างๆ

และสุดท้ายนี้ ผมว่าตอนนี้เราเริ่มที่จะเห็นกระแสที่นาฬิกาเรือนเล็กจะกลับมาอยู่ในความนิยมอีกครั้ง ซึ่งผมก็หวังว่านาฬิกาแบรนด์ต่างๆ จะเริ่มทยอยออกนาฬิการุ่นยอดนิยม หรือรุ่นใหม่ๆ มาในขนาดที่เล็กลง และในอนาคตอันใกล้ ก็ควรที่จะยกเลิกการแบ่งหมวดหมู่นาฬิกาในแคตตาล็อค ว่าเป็น คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง กันอีกต่อไปได้แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้เราได้เห็นการออกแบบนาฬิกาในรูปแบบใหม่ๆ (ที่ไม่แบ่งเพศ) ในอนาคต

หากเพื่อนๆ มีข้อเสนอแนะว่าอยากจะให้ผมเขียนเกี่ยวกับหัวข้ออะไร มีข้อติชม เห็นด้วย หรือเห็นต่างตรงไหน สามารถเขียนมาในช่องคอมเม้นท์ด้านล่างได้เลยนะครับ ผมยินดีรับฟังความเห็นจากทุกๆ คน และหากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยนะครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผมโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist กันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!

Why now I prefer 36-40mm watch size? And so should you!!

For anyone who follows my Instagram @mickyjicky and @my.six.point.five.inch.wrist , you may find out that I’m really into a ‘smaller watch’ recently. Therefore, in this post, I would like to talk about ‘watch size’ that why now I prefer smaller diameter watches and I think you should consider as well.

Here are my 4 main reasons!!

Wearability

When we talk about wearability, it depends on a wrist size of a wearer. My wrist is 6.5 inches (16.5cm) in circumference. In the past, I used to wear a big watch same as others during the glory days of Panerai when every man & woman wearing 44mm watches as a normal size. It was NOT comfortable at all. How uncomfortable? I have to take it off several times during the day because it hurts my wrist. BUT I kept wearing it because I wanted to follow the fashion trend at that time.

Rolex Explorer Ref.14270 36mm in diameter 43.6mm lug-to-lug and thickness 11.5mm. It is a perfect size for me.

Until I got a chance to wear a smaller watch at around 36-37mm in diameter. Then I understand how comfortable it is. Because a smaller watches come with a thinner and lighter case. So I can wear them all the day without taking them off and even sometime I forgot that I’m wearing one.

When you read at this point, you may think if you have a bigger wrist than mine, let says 7 inches and above, you can wear larger watches comfortably. The answer is Yes and No.

Rolex Submariner Ref.1680 40mm in diameter and 47.7mm lug-to-lug thickness 15mm which I put a leather strap on. It rests nicely on my 6.5″ wrist.

Yes, a bigger wrist can wear a bigger watch BUT that doesn’t mean you cannot wear a smaller watch. In my opinion, “anyone can wear small watches but not everyone can pull off a larger watch” or in other words “Small watches are fine on big wrists, but big watches don’t look good on small wrists”.

Tasteful & Elegant

Rolex Daytona Ref.6265 “Big Red” 37mm in diameter and 44.8mm lug-to-lug Thickness 13mm. This is the most comfortable Chronograph watch that I’ve ever worn.

This is a matter of aesthetic taste. We are talking about a proportion between watch case and your wrist area. A proper watch case can sit on your wrist while allow some wrist presence which has a well proportional look.

It goes the same way as our clothing especially when we are talking about ‘Classic Menswear’. We normally go with a proper size to fit our body (not too big and not too tight) which will make an overall look more appropriate. With a smaller watch, it allows strap or bracelet to has more presence and curve beautifully on your wrist (for a taper strap or bracelet even more beautiful) which is more elegant and tasteful than a bigger watch that shows ONLY a watch dial on your wrist.

Like I mentioned above, when I see a person with big wrists wearing a small watch, I have nothing but respect for him. I think that person knows his/her own style and definitely with taste.

Has anyone notice that the left one has a bigger diameter? (Source: timeandtidewatches.com)

At this point, it is important to know a “Lug-to-Lug” or some call “Watch Length” which is a distance from lug tip to lug tip (see pictures above). This is another key dimension that can determine how big and small of that watch rather than its diameter. Some watches have a small diameter BUT have a long lug-to-lug for example Nomos and some military inspired watches.

Price

Normally, smaller watches are less expensive than bigger watch (when comparing in the same brand and model). We are talking about retail price (go to Rolex, IWC, Omega‘s website) and also secondary market price especially luxury watches made with precious metals and precious stones.

So this is another benefit of wearing smaller watches because you can save more money (for another watch, may be ^_^).

Timeless

As we all know, vintage watches are normally in the range of 33-36mm in diameter (they are still look very beautiful until today) and 37-38mm were considered as oversized watches. In modern days, most of the watches are in 40-42mm in diameter and some brands even consider 36mm and smaller watches are for women.

While people around me are picking 40-42mm when they look for their new watch and there are tons of available models & brands in the current market. I’m looking for 36-37mm watches. May be because I love the vintage style watches and may be because I wear classic menswear clothing. But above all, I believe that smaller watches will stand through a test of time. That’s why Rolex still keep the 36mm size in their Date Just, Explorer, Oyster Perpetual, and recently Day Date.

Patek Philippe Perpetual Calendar Ref.3940G 36mm in diameter with 43.3mm lug-to-lug and thickness 8.8mm. This is my Grail Watch (Source: bazamu.com)

I also like the fact that it is more challenging to find the right watch for me and I prefer not to go to the same route as everyone goes.

My Final Thought

I hope that what I explained above can turn your attention toward a smaller watch in some ways. However, there are more other factors that I didn’t mentioned above such as the Shapes of watch i.e. Rectangular, Tonneau, etc., Thickness, and Colors of dial. These also can impact our perception on how big or small of the watch on our wrist as well. (I can write more about this in the future post).

What I wrote above doesn’t mean that I force myself to look ONLY for 36-37mm watches. For me, I feel comfortable to wear 40mm as the biggest size that I can go. I think 38-40mm watches are the suitable size for my secondary watches i.e. my Dive watch, Sporty watch for my active days.

Lastly, as the trend starts to show that smaller watches are coming back, I’m looking forward to see more Brands offer their famous model in smaller size. Also I think in the near future there should be ‘no gender’ in any brand catalogue and we as a customer will have more options of neutral gender watch designs.

What do you think? Please feel free to drop your comments below. Any opinion and suggestion are very welcome. It’d be much appreciated if you consider to visit & follow my IG account @mickyjicky and @my.six.point.five.inch.wrist

Thank you & See you on the next one!!