หลังจากที่ห่างจากการเขียนบทความลงบนเว็บไซต์ มาสักพักใหญ่ๆ เนื่องจากงานหลักผมที่ทำอยู่นั้น เริ่มกลับมาอยู่ในช่วงที่ผมต้องให้ความสำคัญมากขึ้น แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้สะดุดกับคำถามจากน้องที่รู้จักกันเป็นอย่างดีท่านนึง ซึ่งน้องคนนี้อาจจะไม่ได้มีความคุ้นเคยกับการแต่งตัวสไตล์ classic menswear แต่น้องท่านนี้ก็เป็นหนึ่งใน follower ใน IG ของผม น้องคนนี้สงสัยว่าผมทำอะไรใน IG เลยถามผมว่า “ทำไมถึงแต่งตัวสไตล์ที่พี่แต่งอยู่?”
เนื่องจากบทสนทนานี้เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร ซึ่งผมก็ตอบไปตามที่ผมนึกคำตอบได้ ณ ตอนนั้น และด้วยบริบทการทานอาหาร และดื่มไวน์ไปหลายแก้ว (เพื่อนๆ คงพอจะนึกภาพตามออก) ทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ตอบน้องท่านนั้นไปว่า “มันเป็นความชอบส่วนตัว เป็นสิ่งที่ผมหลงไหล ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก” นั้น มันยังไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีเหตุผลอีกหลายๆ ข้อที่ผมนึกขึ้นมาได้ ระหว่างที่ผมเดินทางกลับบ้าน แล้วคำถามนี้มันก็เกาะอยู่ในหัวผมมาตลอด จนทำให้ผมรู้สึกว่า ผมต้องเขียนมันออกมาได้ตามนี้ครับ…
เราไม่ต้องวิ่งตามเทรนด์ หรือตามกระแสแฟชั่น
เพราะขึ้นชื่อว่า classic ดังนั้น มันคือความ timeless มันไม่ใช่แฟชั่นที่เป็น seasonal ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ว่าการแต่งกายสไตล์นี้ ก็ไม่ใช่ว่า มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงนะครับ แต่มันเป็นการค่อยๆ ปรับเปลี่ยน (evolving over time) ดีเทลต่างๆ ไปตามยุคสมัย โดยที่ภาพรวมยังคงเดิม
ทำให้เรามีเวลามาใส่ใจในรายละเอียด เช่นการเลือกชนิดและสีของผ้า การจับคู่สี และการ mix & match กับเสื้อผ้าที่มีอยู่แล้วในตู้เสื้อผ้าของเรา
การใส่ใจในรายละเอียดที่พูดถึง เช่น การเลือกประเภทของผ้าที่จะใช้กับเชิ้ต, กางเกง หรือ jacket เพื่อให้เหมาะกับสภาพอากาศ และ/หรือ โอกาสที่เราจะใส่มัน อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือการเลือกประเภทของรองเท้า หรือชนิดของหนังสำหรับรองเท้าที่เราจะใส่ในโอกาสต่างๆ นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน มันยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ในเราพิจารณาอีกหลายอย่างนะครับ
และการที่การแต่งตัวสไตล์นี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน การที่เราได้ศึกษา ถึงที่มา และเหตุผลในการออกแบบเสื้อผ้า และ accessories ต่างๆ จะยิ่งที่ให้เราเข้าใจการใช้งาน และสามารถประยุกต์ให้เข้ากับ context ปัจจุบัน และถูกกาละเทศะได้ดียิ่งขึ้น เพราะการที่จะเราเพียงแต่ใส่ตามรูปแบบสมัยก่อนโดยที่ไม่เข้าใจเหตุผล อาจจะทำให้การใส่เสื้อผ้าสไตล์นี้ เหมือนเราใส่ costume (เหมือนในฉากหนัง หรือ งานแฟนซี) มากกว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่เราใส่ในชีวิตประจำวัน
ทำให้เราได้รู้จัก Artisans หรือ Tailors ที่เชี่ยวชาญในการผลิตงานของตนเองอย่างแท้จริง
เนื่องจากเสื้อผ้า และ accessories ต่างๆ ในสไตล์นี้ จะมีเหล่าช่างฝีมือในการผลิตผลงานแต่ละประเภทโดยเฉพาะ และโดยส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจมายาวนาน บางแบรนด์ มีอายุมากกว่า 100 ปี แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในงานนั้นๆ อย่างลึกซึ้ง จะมีบ้างเป็นบางแบรนด์ที่เกิดขึ้นมาใหม่ แต่ก็มักจะเป็นทีมงานที่เคยทำงาน เรียนรู้มาจากแบรนด์เก่าแก่ แล้วก็แยกตัวมาเปิดแบรนด์ของตนเอง โดยใส่ดีไซน์ของตนเอง และความทันสมัยเข้าไปทำให้เกิด รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยที่ยังคงยึดถือในการเลือกวัสดุที่ดีเยี่ยม และให้ความใส่ใจเป็นอย่างมากในคุณภาพการผลิต ยกตัวอย่างเช่น:
ช่างทำรองเท้า: Alden Shoes Company – USA / Crockett & Jones – UK / Berwick 1707 – Spain / Baudoin & Lange – UK /Edward Green – English Master Shoemaker
ช่างทำกระเป๋า: Rutherfords – English Bridle Accessories / Acate – Japan / C.C. Filson Co. – USA
ช่างทำเนคไท: Shibumi – Firenze / Seven Fold – Italy / Vanda Fine Clothing – Singapore
ช่างตัดสูท: Liverano & Liverano – Firenze / Ozario Luciano – Napoli / B&Tailor – Seoul / Ring Jacket – Japan / ASSISI Bespoke House – Seoul / The Primary Haus – Bangkok / Borrom Handcraft Tailor – Bangkok / Jin Tonic Bespoke Suit – Bangkok / The Manners Tailor House – Bangkok
ช่างตัดกางเกง: Ambrosi Napoli – Italy / Echizenya – Osaka & Tokyo
เราสามารถเลือกซื้อสินค้า ที่ผู้ผลิตใส่ใจกับรายละเอียด และความต้องการของลูกค้า มากกว่า สินค้าประเภท Fast Fashion หรือแม้แต่จาก Luxury Brands ก็ตาม
เราคงไม่มีโอกาส ที่จะบอกกับ Zara หรือ H&M หรือ Uniqlo ว่า ช่วยปรับ pattern ของเสื้อเชิ้ต หรือ jacket ให้เข้ากับรูปร่างคนไทย หรือคนเอเชียได้ หรือจะไปบอกให้ Dior หรือ Gucci ช่วยปรับรองเท้าให้หน้ากว้างขึ้นเพื่อให้เข้ากับเท้าของคนไทย จริงอยู่ว่าสินค้า Luxury Brand เราสามารถสั่ง Customization ได้แต่ราคาก็จะสูงมากๆ
แต่เราสามารถทำได้กับเหล่า Artisans และ Tailors ผ่าน Retailers หรือ ร้าน Multi Brand ที่เลือกสินค้า เหล่านั้นมาจำหน่ายในร้าน เช่น The Decorum Bangkok, The Somchai, The Refinement, Sprezzatura Eleganza, Talisman, etc. โดยผ่านการ collaboration ระหว่างทางร้านกับทางแบรนด์ หรือผ่านโปรแกรม MTM หรือ MTO ก็ได้เช่นกัน
เราได้มีโอกาสเจอตัว ได้พูดคุยโต้ตอบกับเจ้าของแบรนด์โดยตรง ที่เป็นทั้ง Artisans และ Tailors ผ่านทาง Retailers
เนื่องจากการเลือกซื้อสินเค้าในสไตล์นี้ มีรายละเอียดค่อนข้างมาก มีตัวเลือกมากมาย ทำให้ก่อให้เกิดการพูดคุยสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิด ความต้องการ กับทางทีมงาน ไปจนถึงเจ้าของร้าน จนก่อให้เกิดเป็นความคุ้นเคยกันเหมือนเพื่อนมากกว่าแค่ คนซื้อ และคนขาย
มากไปกว่านั้น ยังมีการจัด Trunk Show ของเหล่า Artisans และ Tailors ตลอดทั้งปี ทำให้เราได้มีโอกาสได้เจอกับ เจ้าของสินเค้านั้นๆ เช่น ทางร้าน The Decorum จะมีการจัด Trunk Show กับทาง ASSISI ทุกๆ quarter หรือล่าสุดเพิ่งมีการจัด Trunk Show กับทางกางเกงยีนส์ Resolute ไปเป็นต้น หรืออย่างทางร้าน The Refinement มีการจัด Trunk Show กับทาง Ring Jacket และที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ คือ Trunk Show กับทาง B&Tailor ส่วนทางร้าน The Somchai จะมีการจัด Trunk Show กับทาง Liverano & Liverano / Ozario Luciano / Ambrosi Napoli ตลอดทั้งปี
ที่สำคัญคือ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในวงการนี้ มีความ friendly พร้อมที่จะให้ความรู้ คำแนะนำ ให้กำลังใจมาโดยตลอด อบอุ่นมากๆ
ทุกครั้งที่ผมสงสัย มีคำถามที่อยากได้คำตอบ พอทักไปถามคนในวงการนี้ ผ่าน social media ต่างๆ จะได้รับคำตอบทุกครั้ง และทุกคนพร้อมที่จะให้ข้อมูลมากกว่าที่เราถามเสมอ และเมื่อเราโพสอะไรลงไป หรือการทำเว็บไซต์นี้ ผมก็จะได้รับกำลังใจจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มาโดยตลอด ถือว่าเป็น community ที่พร้อมที่จะต้อนรับสมาชิก หรือผู้สนใจหน้าใหม่เสมอ
เราได้สินค้าที่มีความคุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายไปจริงๆ (Value Proposition)
เนื่องจากเหล่า artisan หรือ tailor ในวงการนี้ ไม่ได้ลงทุนไปกับ Celebrity หรือดารา A-list เพื่อให้มาเป็น Presenter หรือ Brand Ambassador เหมือนกับที่แบรนด์ Fast Fashion หรือ Luxury Brand ต่างๆที่ลงทุนไปกับ งบ Marketing มหาศาล
เพราะฉะนั้น ราคาที่เราจ่ายไปนั้น ก็ไปลงกลับคุณภาพ ของวัสดุ และคุณภาพของงานฝีมือ และความใส่ใจในรายละเอียด กับราคาที่สมเหตุสมผลจริงๆ และอีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือ ความคงทนอันเกิดจากการใช้วัสดุที่ดี และคุณภาพที่ดีในการผลิต ทำให้เราสามารถใช้งานสิ่งของเหล่านี้ (ด้วยการดูแลรักษา ที่ถูกต้อง) ได้นานนับ 10-20 ปี
บทสรุป
และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมด ที่ผ่านกระบวนการคิด ทบทวน จากประสบการณ์ของผมในระยะเวลา 2-3 ปี ที่ผมเริ่มสนใจแต่งตัวในสไตล์นี้อย่างจริงจัง
แล้วเพื่อนๆ มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ ผมอยากฟังความเห็นจากทุกคน ว่ามีเหตุผลอื่นๆ กันอีกมั๊ย เพื่อนๆ สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ ในช่อง comment ด้านล่างนี้นะครับ
สุดท้ายนี้ หากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด หรือขอบกพร่องใดๆ ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และฝากสนับสนุนผลงานของผม และมาให้กำลังใจกันโดยการกดติดตาม IG: @mickyjicky และ @my.six.point.five.inch.wrist กันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
แล้วเจอกันใหม่ ในโพสถัดไปครับ!!
ขอบคุณรูปภาพสวยๆ จาก The Decorum, The Somchai, The Refinement, The Primary Haus, Filson Co., Borrom, Jin Tonic, The Manners, MDs’ Style Guide Sharing Group